"ทักษิณ" สวมเสื้อเหลืองขึ้นศาล นัดตรวจพยานหลักฐานคดี ม.112 ยันไม่กังวล เป็นการใช้กฎหมายกระชับอำนาจหลังปฏิวัติ ด้านทนายแจงยิบสืบพยานอีก 7 นัดรวดภายในเดือน ก.ค.ปีหน้า ลุ้นตัดสินคดีภายในปี 68 เผยพยานสำคัญ ล่ามเกาหลี-นักกฎหมายใหญ่ขึ้นเบิกความ “คปท.” นัดรวมพลหน้าทำเนียบฯ ประเดิม “ครม.อุ๊งอิ๊ง” นัดแรก “นิพิฏฐ์” กังขา ป.ป.ช.อืดหนักปมนักโทษพักชั้น 14 รพ.ตำรวจ
เมื่อวันจันทร์ ศาลอาญานัดตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญา ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีให้สัมภาษณ์กับเดอะโชซอนมีเดีย (The ChosunMedia) ของเกาหลีใต้เมื่อปี 2558 มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนายทักษิณได้รับการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท กำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล โดยในวันนี้มีทีมทนายความประมาณ 6-7 คนมาศาล
ต่อมาเวลา 08.53 น. นายทักษิณเดินทางมาศาลในเสื้อสีเหลือง ใส่สูทสีดำคลุมทับ พร้อมกล่าวก่อนขึ้นห้องพิจารณาคดีว่า ไม่มีความกังวล เป็นคดีที่เกิดขึ้นหลังการปฏิวัติใหม่ๆ เป็นการใช้กฎหมายกระชับอำนาจ ส่วนเรื่องพยานเป็นเรื่องทนายความ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ใส่เสื้อสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์อะไรหรือไม่ นายทักษิณตอบว่า “ชัดเจนอยู่แล้วครับ” ก่อนเดินห้องขึ้นพิจารณา ในเบื้องต้นศาลอาญาไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟังการพิจารณาคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 27 ก.ค. นายทักษิณได้ยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ไปยังประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เมืองดูไบ) ระหว่างวันที่ 1-16 ส.ค. 2567 โดยที่ศาลมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งในวันที่ 30 ก.ค. ไม่อนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกประเทศ ยกคำร้อง
ต่อมาเวลา 11.33 น. ภายหลังตรวจพยานหลักฐาน นายทักษิณได้โค้งถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ก่อนเดินทางกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนที่มารอทำข่าวแต่อย่างใด
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ เปิดเผยว่า วันนี้ได้มีการสอบคำให้การของจำเลย โดยนายทักษิณให้การปฏิเสธพร้อมกับนำเสนอพยานหลักฐาน ประกอบไปด้วยพยานฝ่ายบุคคลฝ่ายโจทก์ 10 ปาก ใช้เวลา 3 นัด ฝ่ายจำเลยจำนวน 14 ปาก ใช้เวลา 4 นัด โดยฝ่ายโจทก์ไม่อ้างประจักษ์พยานเลยแม้แต่ปากเดียว ฝ่ายจำเลยเราอ้างล่ามแปลภาษาชาวเกาหลีที่พูดภาษาไทยได้ แต่จะนำมาเบิกความจริงหรือไม่ต้องดูทางโจทก์ว่าติดใจสืบพยานปากนี้แค่ไหน
“ภาระการพิสูจน์คดีอาญาอยู่ที่ฝ่ายโจทก์ ส่วนจะต้องนำมาหรืออาจจะใช้วิธีทางไกลผ่านจอภาพก็สามารถทำได้แล้วในปัจจุบัน โดยทางฝ่ายจำเลยจะมีพยานปากที่เป็นบุคคลสำคัญเป็นนักกฎหมายมาเบิกความ นายทักษิณไม่ได้หนักใจ ผมก็ไม่หนักใจ การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานอยู่ที่ศาล เราก็ทำหน้าที่ให้ดีทั้งโจทก์และจำเลย” นายวิญญัติระบุ
นายวิญญัติระบุว่า นอกจากนี้ยังมีพยานผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามคลิปที่ปรากฏในระบบคอมพิวเตอร์ คลิปที่มีการส่งตรวจตั้งแต่แรก เป็นการรวบรวมจากระบบอินเทอร์เน็ตลงในแผ่นซีดี ไม่ใช่หลักฐานจากสถานที่จริง เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบคลิปที่เป็นประเด็นยืนยันว่า คลิปดังกล่าวไม่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ถึงความเป็นต้นฉบับ การตัดต่อและการแปลความเป็นภาษาไทยก็ไม่สมบูรณ์ ในเรื่องนี้มีภาษาอังกฤษเพียงคำเดียวที่เป็นปัญหา และนำไปสู่การกล่าวหานายทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับที่ตนได้เคยแถลงก่อนหน้านี้ว่า หลักฐานของฝ่ายโจทก์เป็นเพียงการรวบรวมคลิป
นายวิญญัติระบุว่า สำหรับเรื่องคลิปที่ไม่ได้มาจากต้นฉบับจะนำมาเป็นข้อต่อสู้ของจำเลยได้อย่างไรนั้น ยังไม่สามารถลงรายละเอียดในเวลานี้ได้ หลังจากนี้จะเป็นการพิสูจน์ความจริงต่อศาล ขึ้นอยู่กับศาลจะรับฟังพยานหลักฐานและมีคำวินิจฉัยอย่างไร อย่างไรก็ตาม มองว่าเรื่องนี้ นายทักษิณถูกกระทำจากระบบการกล่าวหา ซึ่งตนมองว่าระบบการกล่าวหาของประเทศไทยยังมีปัญหา หากมีโอกาสก็ควรมีการแก้ไข
สำหรับการสืบพยานหลังจากนี้มีทั้งหมด 7 นัด โดยฝ่ายโจทก์นัดในวันที่ 1, 2 และ 3 ก.ค. 2568 นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยจะสืบพยานในวันที่ 15, 16, 22 และ 23 ก.ค. 2568 หลังจากนั้นศาลจะจัดทำคำพิพากษาต่อไป ซึ่งคดีเริ่มต้นเดือน ก.ค.ปีหน้า และเชื่อว่าศาลชั้นต้นจะตัดสินภายในปีนั้นอยู่แล้ว แต่จะมีการอุทธรณ์ฎีกาต่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งที่มีการนัดสืบพยานในปีหน้านั้น เนื่องจากศาลอาญาเป็นศาลใหญ่ รับคดีทั่วราชอาณาจักร มีคดีจำนวนมาก ต้องนัดสืบพยานไปตามลำดับของคดี แต่คดีนี้เป็นการนัดคดีต่อเนื่อง ส่วนจะเกี่ยวข้องกับกฎหมายนิรโทษกรรมหรือไม่นั้น ผมเองไม่มีความเห็น” นายวิญญัติระบุ
เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายจำเลยจะขอยื่นสืบพยานลับหลังหรือไม่ นายวิญญัติกล่าวว่า ในขณะนี้ยังไม่มี ซึ่งได้รับการยืนยันจากนายทักษิณว่าท่านพร้อมที่จะมาสืบพยานทุกนัด เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยตัวเอง และพิสูจน์ว่าที่ผ่านมาไม่มีเจตนาที่จะก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ และพร้อมที่จะได้แสดงความจงรักภักดีเพื่อให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งประชาชนคนไทยก็เห็นได้อยู่แล้ว แต่ทั้งนี้หากศาลอนุญาตให้มีการสืบพยานลับหลัง ท่านอาจจะไม่ได้เดินทางมาด้วยตนเอง
นายวิญญัติระบุว่า ส่วนนายทักษิณจะมีกำหนดการเดินทางไปต่างประเทศอีกหรือไม่นั้น ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา และในการต่อสู้คดีนี้นายทักษิณมีความมั่นใจ ไม่ได้กำชับอะไรเป็นพิเศษ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก ป.ป.ช.เรียกนายทักษิณไปให้ปากคำ กรณีเอื้อประโยชน์ให้นายทักษิณพักชั้น 14 เจ้าตัวจะพร้อมเข้าให้ข้อมูลหรือไม่ นายวิญญัติระบุว่า อยู่ที่ว่านายทักษิณเกี่ยวอะไร เพราะท่านไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช.จะพิจารณาว่าคดีมีมูลหรือไม่มีมูล และจะไต่สวนนายทักษิณหรือไม่ แต่หากมีการไต่สวนนายทักษิณก็ยินดี เพราะท่านกลับเข้ามาในประเทศ ท่านบอกว่าพร้อมที่จะปฏิบัติตามกติกาของสังคม โดยเฉพาะกฎหมาย ไม่เช่นนั้นนายทักษิณคงไม่เข้าสู่กระบวนการ ส่วนกระบวนการจะเป็นอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องในหลายๆ ส่วนที่เกี่ยวข้อง
ในส่วนคดีที่ยื่นฟ้องนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และดูหมิ่นด้วยการโฆษณา รวม 2 ข้อหา กรณีพาดพิงเรื่องถุงขนม 2 ล้าน ศาลนัดไต่สวน 30 ก.ย.เป็นนัดแรก ยังไม่มีการไกล่เกลี่ย ซึ่งนายทักษิณประสงค์จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
วันเดียวกัน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต รมว. วัฒนธรรม และอดีต สส.พัทลุงหลายสมัย โพสต์เฟซบุ๊กในหัวเรื่อง “ป.ป.ช.กับความล่าช้าในการตรวจสอบกรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ” มีใจความว่า "เรื่องนี้ผมคิดเอาเองว่า (ผมอาจผิดก็ได้) มันทำลายกระบวนการยุติธรรมลงอย่างย่อยยับ วันที่ 21 สิงหาคม 2567 ผมจึงต้องร่วมกับคณะน้องๆ คปท.ไปสอบถามความคืบหน้าเรื่องนี้กับ ป.ป.ช. เพราะระยะหลัง ป.ป.ช.ก็มีปัญหาให้น่าวิจารณ์อยู่เยอะเหมือนกัน #ความยุติธรรมที่มาช้า คือความไม่ยุติธรรม"
ขณะที่นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุใจความว่า "ประชุม ครม.อิ๊งค์นัดแรกที่ทำเนียบฯ ขอทำเทียบเชิญ ใส่รองเท้าผ้าใบ ไปทำเนียบฯ พร้อมกันในวันนั้น"
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำนักข่าว The room 44 ระบุแถลงการณ์ ประณามพฤติกรรมตำรวจคุกคามสื่อมวลชน ภายหลังลงพื้นที่เกาะติดความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ซอย 67 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางพลัด เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร โดยเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปกป้องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาให้บริการประชาชน และขอเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ตรวจสอบพฤติกรรมการคุกคามสื่อดังกล่าวด้วย เพราะการคุกคามสื่อเท่ากับคุกคามประชาชน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ชูศักดิ์ดิ้นหนัก ลุยล็อบบี้กมธ. ปั้นกม.การเงิน
“นายกฯ อิ๊งค์” บอกไม่ได้จบกฎหมายมา โยน “ชูศักดิ์” ดูแลเรื่องรัฐธรรมนูญ
‘18บอส’นอนตะรางยาว! สายไหมไม่รอดเจอข้อหา
18 บอสดิไอคอนนอนคุกยาว ดีเอสไอยื่นฝากขังผัด 4 พ่วงแจ้งข้อหาใหม่โทษหนักคุก 10 ปี
อิ๊งค์ข้องใจแสนชื่อเลิก‘MOU44’
“หมอวรงค์” นำกลุ่มคนคลั่งชาติยื่น 104,697 รายชื่อร้องยกเลิกเอ็มโอยู 44
ปชน.ขนทัพใหญ่ หาเสียงทิ้งทวน! หวังปักธง‘สีส้ม’
“ปชน.” ปูพรมโค้งสุดท้าย ขนทัพใหญ่ดาวกระจาย 6 สายทั่วพื้นที่ “ปิยบุตร” ขอโอกาสปักธงสีส้ม “พิธา” เชื่อคะแนนยังสูสี พรรคประชาชนมีโอกาสพลิกชนะ
ทวีโยงคาร์บ๊องป้องแม้วพักชั้น14
ตามคาด "ทักษิณ" ไม่เข้าชี้แจง กมธ.ปมนักโทษชั้น 14 "ทวี" แจงแทน
‘ทักษิณ-พท.’ยิ้มร่า ศาลยกคำร้องล้มล้างฯ เพื่อไทยเล็งฟ้องเอาคืน
ศาล รธน.มีมติเอกฉันท์ยกคำร้อง "ทักษิณ-เพื่อไทย" ล้มล้างการปกครอง