“สภาพัฒน์” เผยไทยไตรมาส 2/67 ขยายตัว 2.3% คาดทั้งปีโต 2.5% แนะติดตามสถานการณ์ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก ขณะที่ “ดิจิทัลวอลเล็ต” รอนโยบายจากรัฐบาลใหม่ ลุ้นมาตรการเสริมออกมากระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี "ศิริกัญญา" ชวนจับตาแจกเงินหมื่นเปลี่ยนเกณฑ์หรือไม่
เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไตรมาส 2/2567 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2567 ว่า เศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.3% ต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา และเมื่อปรับฤดูกาลแล้วเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 0.8% โดยเศรษฐกิจไทยได้รับอานิสงส์จากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว 4% การบริโภคภาครัฐบาลขยายตัวได้ 0.3% การส่งออกในไตรมาสนี้ที่ขยายตัวได้ 1.9% และบริการ 19.8% แต่การลงทุนรวมยังหดตัวอยู่ที่ 6.2% ทั้งนี้สภาพัฒน์คาดว่า จีดีพีไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ 2.3-2.8% ค่ากลาง 2.5%
อย่างไรก็ตาม ขณะที่จีดีพีภาคเกษตรของไทยในไตรมาสที่ผ่านมาลดลง 1.1% เป็นผลมาจากการผลิตสินค้าเกษตรที่ลดลงหลายชนิด ขณะที่จีดีพีนอกภาคเกษตรขยายตัวได้ 2.6% จากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ขยายตัว 1.8% และกลุ่มบริการที่ขยายตัวได้ 1.8% ส่วนการเบิกจ่ายการลงทุนภาครัฐยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย แต่จะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังที่จะเบิกจ่ายได้มากขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา และปีงบประมาณ 68 จะมีการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเวลาที่วางไว้ ซึ่งต้องทำให้มีการเบิกจ่ายได้มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
นายดนุชากล่าวอีกว่า สภาพัฒน์ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่เหลือของปีนี้ เช่นปัญหาหนี้สิน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาคการเงิน ต้องจับตาสถานการณ์การที่หนี้สินครัวเรือน และหนี้ของภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่สูงขึ้น ซึ่งในส่วนนี้ต้องมีมาตรการที่มุ่งเป้ามากขึ้น การปรับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยของประเทศเศรษฐกิจหลัก รวมถึงอัตราว่างงานที่สูง ต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น และการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่จะมีมาตรการกีดกันการค้ามากขึ้น
นอกจากนี้ มองว่าการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2567 ควรให้ความสำคัญกับ การเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ โดยอาศัยประโยชน์จากการย้ายฐานการลงทุนเพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการเร่งรัดนักลงทุนที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2565-2567 ให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว เพื่อช่วยขับเคลื่อนการขยายตัวของภาคการผลิตและภาคการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพ รวมทั้งเป็นที่ต้องการของตลาดโลกเพิ่มขึ้น อาทิ สินค้าประเภทอาหารมูลค่าสูง สินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสินค้าที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งสินค้าที่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้า
“การดึงดูดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการปรับลดอุปสรรคด้านขั้นตอนกระบวนการ และข้อบังคับ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคการผลิต และการพัฒนาผลิตภาพแรงงานเพื่อรองรับอุตสาหกรรม และภาคบริการเป้าหมาย และการเร่งรัดโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้” นายดนุชากล่าว
สำหรับประมาณการจีดีพีปี 2567 อยู่ที่ 2.3-2.8% ค่ากลางอยู่ที่ 2.5% ลดลงจากประมาณการครั้งที่แล้วเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 67 ที่อยู่ในระดับ 2.0-3.0% ส่วนหนึ่งมาจาก การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น เนื่องจากสามารถเบิกจ่ายได้ดีขึ้น ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นในระดับ 0.4-0.9% และดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ที่ 2.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวในเกณฑ์ดีของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ การเพิ่มขึ้นของแรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐในช่วงครึ่งปีหลัง การกลับมาขยายตัวอย่างช้าๆ ของภาคการส่งออกตามการฟื้นตัวของการค้าโลก ขณะที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในเกณฑ์สูง และมาตรฐานสินเชื่อที่มีความเข้มงวด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลก
นายดนุชากล่าวว่า ส่วนการเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยจะต้องดูว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร หากรัฐบาลดำเนินมาตรการนี้ต่อก็จะต้องดูว่ามีการปรับเปลี่ยนมากน้อยแค่ไหน จากเดิมที่มีข้อเสนอสำคัญไป 2 เรื่อง คือแหล่งที่มาของเงินจากงบประมาณปี 67 ที่มีการใช้จ่ายแล้ว และงบประมาณปี 68 ที่จะเข้ามาวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งจะต้องดูว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้าง และอีกหนึ่งเรื่องคือระบบของการใช้จ่ายเงิน ซึ่งเรื่องนี้คงต้องมีการพูดคุยกันในระดับนโยบาย และสอบถามความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ
ทั้งนี้ หากไม่มีมาตรการนี้เชื่อว่ารัฐบาลจะต้องมีมาตรการอื่นเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะช่วยเหลือประชาชนกลุ่มรายได้น้อยอย่างน้อย 1 มาตรการ ซึ่งจะต้องดูช่วงเวลาการออกมาตรการที่เหมาะสมด้วย อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูกันต่อไปว่าสุดท้ายรัฐบาลจะมีมาตรการอะไรออกมา เพราะขณะนี้ยังพูดอะไรมากไม่ได้ เนื่องจากรัฐบาลยังไม่มีการแถลงนโยบาย ซึ่งเชื่อว่าทั้งนายกรัฐมนตรีและ ครม.รวมถึงพรรคร่วมคงจะต้องมีการหารือกัน และจะมีการมาตรเสริมออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงนโยบายโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะเดินหน้าต่อหรือไม่ว่า เป็นไปตามที่นางสาวแพทองธารเคยให้สัมภาษณ์ไป
เมื่อถามต่อว่า จะต้องมีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลอีกครั้งหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นพรรครัฐบาลเดิมและนโยบายควรเป็นเช่นเดิม นายภูมิธรรมกล่าวว่า เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งนางสาวแพทองธารได้บอกแล้วว่าจุดมุ่งหมายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ภายหลังที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี ฝ่ายค้านจะดำเนินอย่างไรต่อ โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ว่าฝ่ายค้านเองก็เฝ้ารอวันให้มีการกำหนดแถลงนโยบาย เพื่อนำมาศึกษาและวิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นครั้งที่สองของรัฐบาลนี้ในการแถลง และจะต้องติดตามกันต่อในการทวงสัญญาที่ได้หาเสียงเอาไว้ และตรวจการบ้านหนึ่งปีของรัฐบาลที่ผ่านมา รวมถึงเสนอแนะแนวทางทางออก และแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งขณะนี้ก็มีข่าวว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปอีก น.ส.ศิริกัญญามองว่า คงจะต้องรอการแถลงนโยบายและการให้รายละเอียดภายหลังจากคณะรัฐมนตรีได้ถวายสัตย์ปฏิญาณ เราต้องให้โอกาสรัฐบาลใหม่ได้เตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ เพื่อมานำเสนอต่อสภา
น.ส.ศิริกัญญาชี้ว่า หากต้องมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ คงจะเป็นไปเพื่อทำให้มีความละเอียดรอบคอบมากขึ้น เป็นไปตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังมากขึ้น แต่รูปแบบจะเปลี่ยนไปอย่างไรคงต้องจับตาดู หากจะเปลี่ยนเป็นเงินสด ก็ทำให้ตรงกับความต้องการประชาชน รวมถึงลดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลงไป ซึ่งต้องดูเรื่องของงบประมาณด้วยว่าจะสามารถจ่ายได้เท่าไหร่ เพราะรัฐบาลเองก็ยังไม่มีการแถลงความชัดเจนในเรื่องนี้ แต่ก็เข้าใจได้เพราะยังไม่มีคณะรัฐมนตรี และแผนนโยบายยังไม่ได้นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี คงต้องให้โอกาสให้เวลารัฐบาลได้เตรียมตัว
เมื่อถามว่า การปรับคณะรัฐมนตรีจะมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของกระทรวงการคลังหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า คงจะมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบาย หรือมาตรการที่รัฐบาลจะต้องมีการดำเนินการให้เหมาะสมกับภาระงานที่จะเกิดขึ้น ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายใหม่ที่จะต้องมีการแถลงต่อสภาฯ ว่าจะใช้กระทรวงการคลังเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก หรือจะใช้รัฐมนตรีในกระทรวงอื่นๆ ร่วม ซึ่งก็ต้องรอภายหลังการแถลงนโยบาย ตนคิดว่าหากเปลี่ยนรัฐมนตรีภายในกระทรวงการคลัง คงไม่ถึงขั้นที่จะทำให้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตสะดุด เพราะรายละเอียดมีการดำเนินการไปในระดับหนึ่งแล้ว อาจจะทำให้ช้าไปบ้าง แต่คงไม่ได้กระทบอะไรในภาพรวม หากจะมีการเปลี่ยนแปลงก็คงเป็นการตัดสินใจจากคณะรัฐมนตรีมากกว่า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พปชร.แตก!ถีบป้อม ธรรมนัสโชว์สส.29+5 แม้วเคาะกะลา‘ปชป.’
"พท." ชื่นมื่นจัดเซอร์ไพรส์วันเกิด "อิ๊งค์" ล่วงหน้า "นายกฯ" ย้ำต้องสกรีนคุณสมบัติรัฐมนตรีให้เข้ม แย้ม รมต.เพื่อไทยรอสรุป 1-2 วันนี้
สิ้น‘ชรินทร์’ตำนานเพลงลูกกรุง
สิ้นตำนานเพลงลูกกรุง "ชรินทร์ นันทนาคร" ศิลปินแห่งชาติ ด้วยโรคชรา สิริอายุ 91 ปี
พ่อนายกฯไฟเขียวแจกดิจิทัล
“ทักษิณ” ปูดบอกเดินผ่านได้ยิน “อุ๊งอิ๊ง” คุยเดินหน้าแจกหมื่นแน่ แต่อาจปรับรูปแบบ บอกตอนนี้การเรียนรู้เรื่อง “ดิจิทัล” ไม่รีบ
เพิ่มเกณฑ์ผ่าน‘ประชามติ’
"กมธ.ประชามติ" ปรับระดับเกณฑ์ผ่านประชามติด้วยเสียงข้างมาก
ค่ายส้มแพ้อีก! ชวดนายกอบจ. ‘เมืองสองแคว’
ค่ายส้มปลุกไม่ขึ้น แพ้เลือกตั้งท้องถิ่นซ้ำซาก "มนต์ชัย" คว้าชัยเลือกตั้งนายก
เคาะ15ก.ย.เลือกตั้งซ่อม จี้สอบปชช.รับเงินบริจาค
กกต.เคาะแล้วเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก แทน "หมออ๋อง" 15 ก.ย.นี้