คิวเอี้ยดไม่ไปศาล นิดพร้อมรับชะตา

"เศรษฐา" อ้างคิวงานแน่น! เมินไปฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ บอกไม่เกี่ยวกับความมั่นใจ แต่จะทำงานจนหยดสุดท้าย ส่ง "หมอมิ้ง" ไปแทน "วิษณุ" พลิกลิ้นทันควัน ตอนแรกบอก "เสี่ยนิด" นั่งรักษาการยุบสภาได้ แต่กลับลำบอกหากหลุดเก้าอี้ "สหายอ้วน" ต้องทำหน้าที่แทนทันที ชี้ช่องเสนอชื่อกลับมาให้โหวตใหม่ได้ "พรรค ปชช."  ท่องคาถาไม่เห็นด้วยให้องค์กรอิสระตัดสินเรื่องจริยธรรม "นายกฯ" ย้ำสิงหาคมไม่ปรับ ครม.แน่

ในวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2567 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดอ่านคำวินิจฉัยในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา 40 คน ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง  (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่            

โดยความเคลื่อนไหวล่าสุด เมื่อวันอังคาร  นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมถึงการไปฟังการวินิจฉัยด้วยตัวเองหรือไม่ว่า ไม่ไป มอบให้ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรีไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวันที่ 14 ส.ค. นายกฯ มีภารกิจใดบ้าง นายเศรษฐากล่าวว่า เยอะแยะเลย แต่ไม่แน่ใจ จำตารางงานไม่ได้ แต่รู้ว่าตารางแน่นเอี้ยด ยังคงทำงานตามปกติ

เมื่อถามย้ำว่า จะไม่มีการเดินทางไปภารกิจนอกทำเนียบฯ ใช่หรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า จำตารางไม่ได้จริงๆ

นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีที่ประชุมมีการให้กำลังใจนายกฯ อย่างไรหรือไม่ว่า ไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้

ถามอีกว่า ได้พูดคุยกับนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้อย่างไรหรือไม่  นายกฯ กล่าวว่า ตั้งแต่ได้เตรียมข้อมูลและส่งข้อมูลครบแล้ว จากวันนั้นจนวันนี้ยังไม่ได้พูดคุยกันอีก

เมื่อถามว่า นายวิษณุบอกว่าหากนายกฯ ถูกวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งก็สามารถกลับมาเป็นนายกฯ ได้อีก โดยต้องฟังจากคำวินิจฉัยว่าผิดมาตราใด นายกฯ กล่าวว่า ไม่ได้คุยเรื่องนี้เลย ไม่ทราบเลย ซึ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย อย่างที่บอก 2 สัปดาห์ที่แล้วได้ส่งคำแถลงการณ์ปิดคดีไปแล้ว ไม่ได้พูดคุยอีกเลย

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยได้มีการเตรียมการอย่างไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องถามพรรค   

เมื่อถามว่า จะตั้งวอร์รูมฟังคำวินิจฉัยของศาลหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ไม่มีวอร์รูม เพราะมันจบแล้วตั้งแต่ส่งคำแถลงการณ์ปิดคดี ซึ่งถือว่าเราได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว ทั้งหมดขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม

เมื่อถามว่า วันที่ 14 ส.ค. นายกฯ จะพอมีเวลานั่งติดตามฟังคำวินิจฉัยได้บ้างหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มีประชุมอยู่แล้ว เป็นการประชุมภายในกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ฉะนั้นถ้ามีผลคำวินิจฉัย เชื่อว่าทีมงานคงเข้ามาบอก ซึ่งก็ประชุมไปเรื่อยๆ ส่วนจะมีแผนสำรองหรือไม่ ถ้าไม่ได้เป็นนายกฯ ต่อไปนั้น ไม่ได้คิดอะไรในเรื่องนี้ ให้มันเกิดขึ้นก่อนและค่อยว่ากัน

ถามว่า ดูเหมือนนายกฯ มั่นใจพอสมควร นายเศรษฐากล่าวว่า "ไม่ครับ ผมมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ เรื่องต่างๆ ที่สำนักข่าวหลายๆ สำนักเอาไปวิจารณ์ หรือบางข่าวบอกว่าผมหน้าเศร้าบ้างอะไรบ้าง คุณแม่ผมเพิ่งเสียไป ผมก็หน้าเศร้าเป็นธรรมดา หรือบางคนก็บอกแหมมั่นใจมากไปเซตอัปการประชุมวางตารางเพียบถึงสิ้นเดือน มันเป็นหน้าที่ของนายกฯ ที่ต้องมีการบริหารราชการแผ่นดิน มีการเตรียมงานความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ผมก็เตรียมไป แต่ถ้าผลออกมาเป็นบวกผมก็เดินหน้าที่งานต่อไป แต่ถ้าผลออกมาเป็นลบ รักษาการนายกฯ ก็นำแผนงานที่เซตไว้ไปพิจารณาและปรับปรุงตามความเหมาะสมของท่านเอง อันนี้เป็นเรื่องการทำงานทั่วๆ ไปมากกว่า ไม่ได้เป็นความแสดงออกมั่นใจหรือไม่มั่นใจอะไร เราทำดีที่สุด และได้ส่งคำแถลงปิดคดีไปแล้วเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม"

เมื่อถามว่า หากนายกฯ เกิดอุบัติเหตุงานที่เซตไว้ใครจะมาทำก็เดินต่อได้หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เซตอัปงานไม่ใช่ว่าเป็นความประสงค์ของตน แต่เซตอัปงานตามปัญหาของประชาชนที่เกิดขึ้น แน่นอนถ้าเกิดว่าต้องหลุดแล้วมีรักษาการรองนายกฯ  มาดู ท่านก็คงพิจารณาดูตามลำดับความสำคัญที่ท่านเห็นว่าเหมาะสม อย่างน้อยหากท่านเข้ามาก็จะได้รับทราบว่าเราได้มีการแพลนอะไรไปแล้วบ้าง

ถามว่า วันนี้นายกฯ อยากจะพูดอะไรถึงประชาชนผ่านสื่อหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่มี วันนี้ประชุม ครม.ได้แจ้งว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง  และวันเดียวกันนี้ช่วงบ่ายมีงานเต็ม ก็ทำงานไปเรื่อยๆ

เมื่อถามว่า มองกันว่าหากผลคำวินิจฉัยออกมาเป็นลบ จะมีผลกระทบต่อจิตวิทยาในการลงทุนของนักลงทุนที่นายกฯ ไปเดินสายไว้ที่ต่างประเทศ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องนี้

ในช่วงเย็น นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงภารกิจในวันที่ 14 ส.ค.ว่า ในช่วงเช้าวันที่ 14 ส.ค. จะเดินทางเข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่จะเดินทางไปตรวจเยี่ยมตลาดใต้สะพานเพลินจิต บริเวณสะพานเพลินจิต จากนั้นช่วงบ่ายจะมีการประชุมถึง 3 วง มีการบันทึกเทปรายการคุยกับเศรษฐา นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการท่องเที่ยว และมีอะไรเยอะแยะเลยหลายเรื่อง

ผู้สื่อข่าวถามว่าคืนนี้จะนอนหลับหรือไม่  นายเศรษฐากล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “นอนหลับอยู่แล้ว”

เนติบริกรกลับลำปมรักษาการ

ขณะที่ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ในวันพฤหัสบดีที่ 15 ส.ค.2567 นายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มีกำหนดเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของนายเศรษฐา ที่ทั้ง 2 ประเทศจะขยายความร่วมมือในด้านต่างๆ เพื่อประโยชน์ร่วมกันของสองประเทศ ซึ่งในโอกาสนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย

ด้านนายวิษณุกล่าวถึงคำแถลงปิดสำนวนของนายเศรษฐา จะหักล้างข้อต่อสู้ของกลุ่ม 40 สว.ที่ยื่นถอดถอนนายกฯ ได้หรือไม่ ว่าอย่าตอบเลย เพราะอีก 24 ชั่วโมงก็ตัดสินอยู่แล้ว ไม่อยากวิจารณ์อะไรตอนนี้

เมื่อถามว่า หากนายกฯ ถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง ขั้นตอนหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร นายวิษณุกล่าวว่า หากไม่รอดนายกฯ ก็ถูกถอดถอนและพ้นจากตำแหน่ง รวมถึง ครม.ก็สิ้นสุดลง แต่นายกฯ สามารถรักษาการไว้ได้จนกว่านายกฯ คนใหม่จะนำ ครม.เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลานานพอสมควร เป็นสัปดาห์ แต่ระหว่างนี้นายเศรษฐาก็สามารถทำหน้าที่รักษาการนายกฯ และปฏิบัติหน้าที่ได้

เมื่อถามอีกว่า หากนายเศรษฐาพ้นตำแหน่ง และมีชื่อเป็นแคนดิเดต ก็กลับมาอีกครั้งได้หรือไม่ นายวิษณุมองว่า ได้ แต่ก็ยังไม่ถูกตัดสินจึงยังตอบไม่ได้ จนกว่าศาลมีคำพิพากษาว่าคำวินิจฉัยเขียนว่าอย่างไร ซึ่งจะมีช่องให้เห็นอยู่ ถ้าหากไม่มีช่องอะไรอยู่ก็เป็นไม่ได้ ต้องฟังคำวินิจฉัย นายกฯ พ้นจากตำแหน่งไปด้วยเหตุตามมาตราใด

เมื่อถามว่า อำนาจของรักษาการนายกฯ สามารถดำเนินการอะไรได้บ้าง รวมถึงยุบสภาได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ปัญหานี้เกิดทุกยุคทุกสมัยแล้ว ซึ่งสั่งยุบสภาได้ เพราะระหว่างรักษาการก็ถือว่ามีอำนาจเต็ม

ต่อมานายวิษณุให้สัมภาษณ์อีกครั้งในเรื่องนายเศรษฐาหากถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นจากตำแหน่ง ยังสามารถรักษาการนายกฯ และปฏิบัติหน้าที่ได้ว่า เข้าใจผิด คิดว่าสื่อถามถึง ครม.ที่ยังสามารถรักษาการได้ แต่สำหรับนายกฯ ไม่สามารถรักษาการได้ ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที และต้องให้รองนายกฯ คนที่ 1 คือนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ แทน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข  ปฏิเสธแสดงความเห็นในเรื่องคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 14 ส.ค. โดยบอกว่าหากวิเคราะห์ต้องผิดแน่นอน

นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กล่าวว่า ไม่รู้หรอกว่าทิศทางของศาลรัฐธรรมนูญจะออกแบบไหน แต่ช่วงนี้นอนหลับฝันดีอยู่ ไม่มีฝันร้ายช่วงนี้

ขณะที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของอำนาจศาล ซึ่งได้ให้กำลังใจนายกฯ เชื่อว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี

นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ระบุว่า เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร การทำงานของรัฐบาลก็ยังต้องดำเนินการต่อ ในส่วนการเมืองจะมีการปรับเปลี่ยนอะไรก็คงต้องว่ากันไปตามอำนาจศาล 

 “ท่านนายกฯ จะผ่านไปได้ตลอด และการทำงานของรัฐบาลตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ก็โฟกัสถึงปัญหาของประเทศมากกว่า ถ้ามัวแต่กังวลว่านายกฯ จะไปต่อได้หรือไม่ การทำงานก็จะชะงักไปหมด”

พท.ลั่นเสนอชื่อเศรษฐา

เมื่อถามว่า นายกฯ เครียดกรณีนี้หรือไม่ และเคยพูดคุยเรื่องนี้ในที่ประชุม ครม.หรือไม่ นายวราวุธกล่าวว่า ไม่ได้พูดคุยกัน แต่เมื่อวานตอนเย็นได้เจอนายกฯ ที่สนามหลวง ก็ดูสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดี ไม่ได้กังวลอะไร

ด้านนายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการเตรียมการรับมือในวันที่ 14 ส.ค.ว่า การประชุมพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 12 ส.ค. นายภูมิธรรมแจ้งต่อที่ประชุมถึงคำพูดของนายกฯ ว่าให้เป็นไปตามกระบวนการ นายกฯ เองไม่ได้หนักใจ เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ส่วนพรรคก็ไม่ได้เตรียมการอะไร ขอให้เกิดขึ้นก่อนจะดีกว่า และตนก็มั่นใจในความบริสุทธิ์ของนายกฯ เช่นกัน

ขณะที่ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ระบุว่า เหตุยังไม่เกิดอยู่กับปัจจุบัน อนาคตว่าไป แต่เรามั่นใจว่านายกฯ บริสุทธิ์ จะสามารถผ่านเรื่องนี้ไปอย่างสบาย

นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวว่า เชื่อว่านายเศรษฐาจะรอดพ้นในคดีนี้ และทำหน้าที่นายกฯ ต่อไป และการที่นายกฯ ไม่ได้ไปฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเองไม่ได้เป็นสัญญาณอะไร ไม่ได้มีเหตุผลทางการเมืองอื่น แต่ต้องเข้าใจว่าท่านนายกฯ เป็นคนขยัน มีภารกิจค่อนข้างเยอะ ทำงานไม่มีวันหยุดเลย แม้กระทั่งช่วงเวลาที่คุณแม่ท่านนายกฯ จากไปก็ยังไปทำงานอยู่ แล้วตอนเย็นก็ไปรับแขกที่มาร่วมแสดงความเสียใจ ตรงนี้เป็นปกติของท่านนายกฯ  ซึ่งเป็นคนขยัน มุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน

นายก่อแก้วยังกล่าวถึงกรณีต้องเลือกนายกฯ ใหม่ว่า นายเศรษฐาก็ยังมีชื่ออยู่ในแคนดิเดต รัฐธรรมนูญไม่ได้มีข้อห้ามอะไร ท่านไม่ได้ขาดคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญมีข้อห้ามไว้ หากเป็นความผิดพลาดทางข้อกฎหมายโดยไม่ได้เจตนาก็กลับเข้ามาใหม่ได้ เหมือนกรณีนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ โดนเรื่องทำกับข้าวออกทีวี ทำให้ต้องหลุดจากตำแหน่ง แล้วก็มีหลายคนพยายามผลักดันกลับเข้ามาใหม่

 “โดยหลักการแล้ว หากเลือกนายกฯ คนใหม่ ก็ต้องมาจากพรรคมีเสียงอันดับหนึ่งก็คือพรรคเพื่อไทย แต่ผมไม่อยากให้ไปไกลถึงขนาดนั้น เพราะเชื่อว่าท่านนายกฯ ไม่หลุดแน่นอน” นายก่อแก้วกล่าว

ส่วนนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชช.) กล่าวถึงแรงกระเพื่อมทางการเมืองในวันที่ 14 ส.ค.ว่า จะรอดูคำวินิจฉัย แต่คิดว่าคงไม่มีอะไร แต่ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการให้องค์กรอิสระที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนมาตัดสินนักการเมืองในคดีแบบนี้ และไม่เห็นด้วยกับการมาถอดถอนนักการเมืองด้วยวิธีการแบบนี้

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชช. กล่าวเช่นกันว่า จุดยืนของพรรค ปชช.ก็เหมือนกับอดีตพรรคก้าวไกล แม้สังคมอาจตั้งคำถามว่าการแต่งตั้งนายพิชิตเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งหากเราเป็นรัฐบาล ก็ไม่อาจแต่งตั้งนายพิชิตมาเป็นรัฐมนตรี แต่ไม่ควรใช้กลไกของการให้องค์กรอิสระหรือศาลรัฐธรรมนูญมาผูกขาดการตีความว่ามาตรฐานจริยธรรมหมายถึงอะไร และนำไปสู่การถอดถอนนายกฯ ด้วยวิธีดังกล่าว เรื่องจริยธรรมมันควรเป็นเรื่องที่ถูกรับผิดชอบทางการเมืองมากกว่าผ่านกลไกเช่นนี้

นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคงไม่ต้องประเมินสถานการณ์ พรรคก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่

ยัน ส.ค.ไม่มีปรับ ครม.

วันเดียวกัน นายเศรษฐายังกล่าวถึงกรณีการหารือระหว่างนายภูมิธรรมกับบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล วันที่ 12 ส.ค. ได้มีการพูดถึงการปรับ ครม.หรือไม่ ว่าไม่ได้พูดคุย

เมื่อถามถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ส่งเรื่องปรับ ครม.ในส่วนพรรคมาให้นายกฯ แล้วหรือยัง นายเศรษฐากล่าวว่า ได้ส่งหนังสือมาเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างที่ได้บอกไปว่า เดือนนี้มีเรื่องเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สื่อให้ความสนใจในวันที่ 14 ส.ค.นี้ ดังนั้นถ้าจะปรับ ครม.ก่อน ส่วนตัวคิดว่าความเหมาะสมไม่มี

เมื่อถามย้ำว่า ไทม์ไลน์ยังเหมือนเดิมคือการปรับ ครม.จะเป็นหลังเดือน ส.ค.ใช่หรือไม่ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง นายเศรษฐากล่าวว่า “ไม่ครับ เป็นอะไรที่ต้องพูดคุยกันอีกทีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาในอดีต มีอดีตรัฐมนนตรีน้อยใจลาออกไป แล้วจะเข้ามาจะไปอยู่ตรงไหน แล้วจะเกิดปัญหาเดิมอีกหรือเปล่า เราอยู่ด้วยกันก็ต้องพูดคุยกัน”

นายสุทินกล่าวถึงกระแสข่าวปรับ ครม.ว่า ไม่น่ามีอะไรหรอก ใครจะไปขยันปรับ ครม.บ่อยๆ

นายสรวงศ์ระบุว่า ขอให้เป็นเรื่องของนายกฯจะดีกว่า ส่วนกระแสข่าวพรรคประชาชาติจะขอแลกตำแหน่งประธานรัฐสภาเป็นรัฐมนตรีว่าการ 1 ตำแหน่งนั้น ก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้เลย

ส่วน พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวในเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องของนายกฯ และหัวหน้าพรรค พปชร.

เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวว่าโควตาของพรรค พปชร.จะถูกตัดออก ได้พูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือไม่ พล.ต.อ.พัชราวาทระบุว่า ยังไม่ได้พูดคุยกัน ซึ่งวันเกิดของ พล.อ.ประวิตรที่ผ่านมา มีคนเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ ในฐานะเลขาธิการพรรค ก็ไม่ได้พูดคุย

เมื่อถามย้ำว่า เก้าอี้ยังคงแข็งแรงอยู่ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับนายกฯ  ส่วนกระแสข่าวที่จะถูกปรับออกแล้วไปทำงานอยู่เบื้องหลังแทน พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าวว่า ก็แล้วแต่หัวหน้าพรรค

น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ต้องไปถามหัวหน้าพรรค และถามนายกฯ ซึ่งสัญญาณการเปลี่ยนเก้าอี้ต้องมาจากหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ซึ่งตอนนี้ยังทำงานอยู่ตามปกติ และส่วนตัวจริงๆ แล้วเราเป็นคนทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้ เหมือนเดิมไม่มีปัญหา แต่เรื่องนี้ขอให้ไปถามนายกฯ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ภายในพรรค รทสช.ยังไม่ได้หารือกันถึงเรื่องนี้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องของหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรค ตอนนี้ยังไม่มีสัญญาณมา

ถามว่า ถึงเวลาที่เหมาะสมหรือยังที่จะปรับ ครม. นายสุชาติกล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ที่อำนาจของนายกฯ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เอาแล้ว! เกษตรกรขอนแก่นบอกรัฐบาลอุ๊งอิ๊งไม่จริงใจช่วยเหลือชาวนาสู้ยุคลุงตู่ไม่ได้

เกษตรกรขอนแก่น ระบุ รัฐบาล 'อุ๊งอิ๊ง' ไม่จริงใจ หลังอนุมัติช่วยเหลือชาวนาไทยเหลือ 10 ไร่ต่อครัวเรือน พร้อมระบุสู้รัฐบาล 'ลุงตู่' ไม่ได้ เพราะเคยได้ถึงครัวเรือนละ 20,000 บาท