ปปช.ฟ้องเอง‘ปู’จัดโรดโชว์ 2ก.พ.ศาลชี้ยึดทรัพย์ธาริต

"ธาริต-เมีย" ระทึก! ศาลรัฐธรรมนูญนัดตัดสิน 2 ก.พ. ปมร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ คกก.สอบวินัยร้ายแรง "เนตร"  ไม่สั่งฟ้อง "บอส" ได้ข้อสรุปแล้ว เรียกฟังผล 19 ม.ค. อัยการเปลี่ยนความเร็วรถไม่รอดโดนด้วย เปิดกรุอดีตอธิบดีดีเอสไอรวย 21 ล้าน

เมื่อวันที่ 12 ม.ค. ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมปรึกษาคดีที่ศาลอุทธรณ์ส่งคำโต้แย้งของผู้คัดค้านทั้งสอง ประกอบด้วย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ผู้คัดค้านที่ 1 และนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ผู้คัดค้านที่ 5 ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ปช.1/2559 และคดีหมายเลขแดงที่ ปช.1/2561 กรณีศาลแพ่งมีคำสั่งให้ทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติของนายธาริตและนางวรรษมล จำนวน 49 รายการ รวมมูลค่า 341,797,811.58 บาท พร้อมดอกผลของทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย มาตรา 212 ว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 81 วรรคสอง ที่ระบุว่า ในคดีที่ร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ให้ผู้ถูกกล่าวหามีภาระการพิสูจน์ที่ต้องแสดงให้ศาลเห็นว่าทรัพย์สินดังกล่าวมิได้เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 25, 26, 27 หรือไม่

 ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า คดีเป็นปัญหากฎหมาย และมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวนตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง กำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติประเด็นว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 81 วรรคสอง ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25, 26, 27  วรรคหนึ่ง และวรรคสามหรือไม่ ในวันที่ 2 ก.พ. เวลา 09.30 น.

สำหรับคำคัดค้านของนายธาริตอ้างว่า คำสั่งยึดทรัพย์เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ และเห็นว่าการตรากฎหมายจะมีผลต่อการจำกัดสิทธิเสรีภาพ หรือเป็นการเพิ่มภาระ และจำกัดสิทธิเกินกว่าเหตุไม่ได้ อีกทั้งบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน และไม่เลือกปฏิบัติ

อีกเรื่องหนึ่งมีรายงานว่า คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง นายเนตร  นาคสุข อดีตรองอัยการสูงสุด กรณีสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ผู้ต้องหาคดีขับรถชนตำรวจจราจร สน.ทองหล่อเสียชีวิต ได้สรุปผลสอบสวนวินัยร้ายเเรงนายเนตร เสร็จสิ้นเเล้ว โดยขั้นตอนหลังจากนี้ จะมีการเรียกนายเนตรเข้ารับทราบผลการสอบสวน ในเบื้องต้นมีการนัดนายเนตร ให้เข้ารับทราบผลการสอบสวนในช่วงบ่ายวันที่ 19 ม.ค.นี้ ภายหลังการประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ในช่วงเช้าแล้วเสร็จ ในวันที่นัดแจ้งผลการสอบสวนวินัยร้ายแรงในวันดังกล่าว จะมีการแจ้งข้อหานายเนตร โดยตัวผู้สอบจะสามารถให้การหรือทำคำให้การเพิ่มเติมครั้งสุดท้าย ภายหลังรับทราบผลสรุปการสอบสวนอีกครั้ง โดยมีระยะเวลาทำคำให้การใน 30 วัน ก่อนคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงส่งผลสรุปให้ ก.อ.พิจารณาและมีมติต่อไป

ส่วนเรื่องการสอบอัยการที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถของนายวรยุทธนั้น มีรายงานว่าทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีคำสั่งอนุญาตให้อัยการคนดังกล่าวยื่นหนังสือลาออกไปเมื่อวันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมาแล้ว แต่ก่อนที่จะมีการอนุญาตให้ลาออกนั้น ได้มีการตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงอัยการคนดังกล่าว ทำให้ถึงแม้ว่าจะลาออก แต่กระบวนการการสอบสวนวินัยร้ายแรงยังสามารถดำเนินการต่อไปได้

คณะกรรมการสอบสวนฯ ประกอบด้วย ประธานกรรมการ 1 คน คือนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ (ก.อ.สายบำนาญ) และกรรมการ ประกอบด้วย นายชาติพงษ์ จีระพันธุ รองอัยการสูงสุด (ก.อ.โดยตำเเหน่ง), นายเชาวลิต วงศานรเศรษฐ์ ผู้ตรวจการอัยการ, นายสุวิช ชูตระกูล อธิบดีอัยการภาค 7 (ก.อ.ผู้ทรงคุณวุฒิ),  นายอนุชา วัฒนวิภา รองอธิบดีอัยการสำนักงานคณะกรรมการอัยการ, พ.ต.ต.สันติ มุริจันทร์ เลขานุการผู้ตรวจการอัยการ และนายศุภโชค เนตรนิยม ผู้ช่วยเลขานุการรองอัยการ

วันเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร กรณีพ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 พ.ต.ท.กรวัชร์และนางสิริพันธุ์ ปานประภากร คู่สมรสแจ้งว่า มีทรัพย์สินรวม 21,060,683 บาท ไม่มีหนี้สิน ทรัพย์สินในส่วนของ พ.ต.ท.กรวัชร์ มูลค่ารวม 12,462,579 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 920,180 บาท เงินลงทุน 1,454,196 บาท ที่ดิน 2 โฉนดในพื้นที่ อ.เมืองฯ จ.สมุทรปราการ และ อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ มูลค่ารวม 4,370,800 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้าน มูลค่า 1,700,000 บาท ยานพาหนะ 944,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 711,842 บาท และทรัพย์สินอื่น (มูลค่าตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป) 2,161,560 บาท

ส่วนบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงของ น.ส.นภาภรณ์ ใจสัจจะ กรณีเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการวุฒิสภา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 โดย น.ส.นภาภรณ์ แจ้งสถานะโสด มีทรัพย์สินทั้งหมด 10,339,640 บาท ไม่มีหนี้สิน ทรัพย์สิน แบ่งเป็นเงินฝาก 153,408 บาท เงินลงทุน 834,827 บาท ที่ดินรวม 5 โฉนด ในพื้นที่ อ.เมืองฯ จ.ปทุมธานี, อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ และ อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ มูลค่ารวม 2,690,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง เป็นอาคารชุดในเขตดอนเมือง กทม. มูลค่า 1,250,000 บาท ยานพาหนะ รถยนต์ 4 คัน มูลค่ารวม 1,500,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 1,653,904 บาท และทรัพย์สินอื่น (มูลค่าตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป) 2,257,500 บาท

รายได้ต่อปี น.ส.นภาภรณ์แจ้งว่า มีรายได้จากเงินเดือนเพียงอย่างเดียว ปีละ 1,836,360 บาท โดยมีรายจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว 1,600,000 บาท และค่าอุปการะบิดา 120,000 บาท สำหรับทรัพย์สินอื่นที่น่าสนใจ เช่น เครื่องประดับงาช้าง 20 รายการ เครื่องประดับทองคำประดับเพชรพลอยและลูกปัด 43 รายการ เครื่องประดับเพชร 15 รายการ อัญมณีเครื่องประดับมุก 7 รายการ

ทางด้านนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณี​ ป.ป.ช.มีมติฟ้องคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมพวก อาทิ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรองนายกฯ, นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีอนุมัติงบประมาณ 240 ล้านบาท ปี 2556 ดำเนินโครงการ Roadshow สร้างอนาคตไทย Thailand 2020 ไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า​ อัยการแจ้งมายัง​ ป.ป.ช.ว่า​จะไม่ส่งฟ้องในคดีนี้​ ป.ป.ช.จึงดำเนินการฟ้องเอง​ ขณะนี้ยกร่างคำฟ้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว​ และเข้าที่ประชุมคณะกรรมการ​ ป.ป.ช.​ ผ่านความเห็นชอบแล้ว​ อยู่ในขั้นตอนรวบรวมเอกสารเพื่อ​จะส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน​ 2​ สัปดาห์นี้​ ส่วนผู้ถูกกล่าวหาที่ถึงแก่กรรม​ต้องจำหน่ายชื่อ​ ระงับฟ้องไปตามมาตรา​ 39​ ของ​ พ.ร.บ.ป.ป.ช.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘ยิ่งลักษณ์’ กลับคุก ‘บิ๊กเสื้อแดง’ รู้มา! ว่าไปตามราชทัณฑ์ไม่ใช้สิทธิพิเศษ

“เลขาฯ แสวง” ยันเดินหน้าคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครองต่อ เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับกับศาล รธน. "จตุพร" ลั่นยังไม่จบ! ต้องดูสถานการณ์เป็นตอนๆ ไป