ศก.สหรัฐถดถอย หุ้นดิ่งเหวทั่วโลก SETร่วง38.41จุด

ตลาดหุ้นไทยปิดร่วงแรง 38.41 จุด หลุด 1,300 จุด โบรกฯ ชี้ต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงหนักกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย ด้าน "ภากร"  ระบุหุ้นไทยร่วงแรงตามปัจจัยต่างประเทศ ทั้งปัญหาการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์โลก "ขุนคลัง" ยันหุ้นไทยร่วงเหมือนทั่วโลก เหตุนักลงทุนรอความชัดเจนทั้งปัจจัยภายในและนอก

เมื่อวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดตลาดที่ 1,274.67 จุด ปรับลดลง 38.41  จุด หรือปรับลดลง 2.93% มูลค่าการซื้อขาย 58,744.07 ล้านบาท ระหว่างวันขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 1,296.11 จุด และลงไปต่ำสุดที่ 1,273.17 จุด 

 นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยในวันที่ 5 ส.ค.ปรับตัวลงแรงสอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ 2 ส.ค.ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งแรง และช่วงเช้าวันนี้ตลาดหุ้นเอเชียก็ปรับตัวลงค่อนข้างแรงตาม โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ดัชนีฯ ลดลงค่อนข้างมาก ส่วนตลาดหุ้นไทยก็เช่นกัน ซึ่งถูกกดดันจากภาวะของตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์โลก ดังนั้นนักลงทุนยังต้องติดตามดูข้อมูลข่าวสารต่างๆ อย่างใก้ลชิด โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่มาจากปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบและส่งผลกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก

ขณะที่นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย กล่าวว่า SET INDEX ปรับลงหนักและต่ำสุดในรอบเกือบ 4 ปี ปัจจัยหลักมาจากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย เพราะรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ และอัตราการว่างงานที่ขยับขึ้นมากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์เช่นกัน

สำหรับอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ได้เข้าสู่ทฤษฎี Sahm Rule ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา การเกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ประกอบกับมีอีกเครื่องมือยืนยันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย อย่างเช่น Inverted Yield Curve ทั้งนี้ บรรยากาศในตลาดเอเชียวันนี้ต่างก็ปรับลงเป็นส่วนใหญ่ เป็นอีกปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคืนนี้ได้แก่  ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ (ISM Service) Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 51.4 หากแย่กว่าคาดการณ์จะยิ่งเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก

โดยมีมุมมองจากโบรกเกอร์ ว่าปัจจัยหลักมาจากตลาดหุ้นทั่วโลกกังวลภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงนโยบายการเงินญี่ปุ่นกลับทิศ

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้  จำกัด เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวร่วงแรงเป็นผลมาจากความวิตกกังวลภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอย ประกอบกับแรงกดดันจากกรณีค่าเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ยังคงแข็งค่าขึ้น ตามการ unwind JPY carry trade หรือปิดสถานะ Short JPY  กันต่อเนื่อง หลังทางการญี่ปุ่นมีนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศยังมีเรื่องความไม่แน่นอนของเรื่องคดีนายกฯ และการประกาศงบของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะดีหรือจะแย่ลง ซึ่งล้วนมีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทย

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในช่วงนี้  ประเมินแนวรับใหม่ที่บริเวณ 1,250 จุด หากดัชนีฯ หลุดแนวรับแรกที่ 1,280 จุด เพราะเชื่อว่าดัชนีฯ คงยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ไม่นานนัก เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนของปัจจัยการเมืองในประเทศที่รออยู่ ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,330-1,335 จุด

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนนั้น แนะนำนักลงทุนถือเงินสดบางส่วนไว้ เพราะกังวลการตัดสินคดีของนายกฯ มีความไม่แน่นอนสูง หรือเลือกหลบภัยในหุ้นที่น่าจะปรับตัวดีกว่าตลาด เช่น หุ้น Defensive, หุ้นปันผล และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการอุปโภคบริโภค ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงคือหุ้นที่อิงกับต่างประเทศสูง โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีที่ราคาเริ่มปรับตัวลดลง และหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภค เช่น กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี

ด้านนายกรรณ์ หทัยศรัทธา นักกลยุทธ์ ฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุนสายงานวิจัย บล. ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลดลงแรง เนื่องจากภาพรวมตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ซึ่งตัวเลขภาคการผลิต (PMI)  รวมถึงยอดคำสั่งซื้อใหม่สินค้าคงทน (Factory Orders) ออกมาต่ำกว่าคาด และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรออกมาต่ำกว่าคาดเพียงระดับกว่าแสนตำแหน่ง และอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 4.3% ซึ่งตลาดกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย จึงเกิดแรงขายในตลาดหุ้นทั่วโลก                

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในวันนี้เผชิญกับปัจจัย 2 ด้าน  อย่างแรกคือ กังวลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย และอย่างที่สองคือ กังวลความเสี่ยงจากการที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นเปลี่ยนนโยบายการเงินกลับทิศ ส่งผลให้มีการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้น โดยแนะนำนักลงทุนให้เปลี่ยนมาถือสินทรัพย์กองรีท (REIT), พันธบัตร หรือถือเงินสดมากขึ้น ซึ่งหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงในช่วงนี้คือ กลุ่มพลังงาน และอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากอิงกับเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก เพราะจะเผชิญกับสงครามการค้า

แต่ในระยะยาวหากจะลงทุนหุ้นที่จะมีกำไรในเชิงบวก  ยังเป็นกลุ่มอาหารและค้าปลีก โดยได้รับอานิสงส์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก ซึ่งแนะนำให้ทยอยซื้อ หากดัชนีลงไปแตะ 1,250 จุด แม้จะมีความเสี่ยงว่า ดัชนีอาจไหลลงไปถึง 1,200 จุด

ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เปิดเผยถึงกรณีตลาดหุ้นไทยที่ปรับลดลงมากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งโลก โดยเชื่อว่าในระดับ 1,300 จุด บวกลบยังยืนอยู่ได้ในระดับนี้ โดยขณะนี้นักลงทุนอยู่ระหว่างรอความชัดเจนทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งหากทุกอย่างชัดเจนเชื่อว่าจะดีขึ้นได้

"ช่วงนี้คนที่รอความชัดเจนต่างๆ ในระดับ 1,300 จุดบวกลบยังยืนอยู่ได้ด้วยปัจจัยพื้นฐาน และรอทุกอย่างทั้งในและนอกประเทศ เดี๋ยวก็จะดีขึ้น" นายพิชัยกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง