สว.พันธุ์ใหม่ลํ้าเส้น ล่าชื่อบีบศาลค้านยุบก.ก. เตือนผิดรธน.หลุดเก้าอี้!

"เศรษฐา" เชื่อมั่น 7 สิงหาคมตัดสินคดียุบก้าวไกลไม่มีแรงกระเพื่อม "วิสุทธิ์" ขอเป็นกำลังใจให้เพราะเคยโดนมาหมดแล้ว "วิโรจน์" ลั่นเป็นวันปกติคิดแพลนทำงานถึง ก.ย.แล้ว เชื่อไร้งูเห่าแค่แซวกันเล่น "จุลพงศ์"  เดือดจี้นายกฯ สั่งสอน "คารม" ปมให้ข่าวแบบมีอคติ "ปชป.-อนาคตไกล" จวกดึงทูต 18 ประเทศมาจุ้นการเมืองไทย "นันทนา" เตรียมล่าชื่อ สว.ค้านยุบพรรค อ้างทั่วโลกก็ไม่เห็นด้วย "นิพิฏฐ์" เตือนระวังผิดรัฐธรรมนูญทำหลุดเก้าอี้

เมื่อวันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม ยังคงมีความร้อนแรงต่อเนื่องในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ในวันพุธที่ 7 ส.ค.นี้ โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหากมีการยุบพรรค ก.ก.เกิดขึ้นจะส่งผลกับสถานการณ์อะไรหรือไม่ว่า "ไม่เกี่ยวครับ"

เมื่อถามอีกว่า ต้องเตรียมความพร้อมดูแลเรื่องความสงบและความปลอดภัยด้วยหรือไม่ในช่วงดังกล่าว นายเศรษฐาตอบว่า เชื่อว่าฝ่ายความมั่นคงดูแลดีอยู่แล้ว

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวว่า ขอให้กำลังใจ สส.พรรคก้าวไกล สมาชิกพรรค ตลอดจนโหวตเตอร์พรรค ในการที่ต้องถูกพิพากษา ซึ่งเราก็ไม่ทราบว่าจะออกมาบวกหรือลบอย่างไร ในอดีตพรรคไทยรักไทยก็โดนมาหมดแล้ว เราไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย แต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่ที่กระบวนการยุติธรรม ที่ผ่านมาเราก็ยอมรับ แต่ครั้งนี้ไม่ทราบจริงๆ ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

นายวิสุทธิ์ยังกล่าวถึงกระแสดูด สส.พรรคก้าวไกลหากถูกยุบว่า ทำงานในสภายังไม่ทราบข่าว อาจมีคนกล่าวชวนแบบทีเล่นทีจริงก็เป็นเรื่องปกติ แต่คงไม่ได้ไปพูดว่าจะดึงคนนั้นคนนี้มาอยู่ ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ แต่พรรค พท.ไม่ได้ไปดูดใครมาและไม่มีความคิดไปดูดใครด้วย เพราะเสียงขนาดนี้เพียงพอแล้ว อยู่ได้สบาย ตั้งแต่มาเป็นประธานวิปก็ยังไม่มีล่มสักครั้ง

ส่วนกรณีที่หากพรรคก้าวไกลถูกยุบจะส่งผลต่อตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ได้มีพรรคไหนเสนอแล้วหรือยัง นายวิสุทธิ์กล่าวว่า สมมุติเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงๆ พรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องมาประชุมเรื่องนี้กัน วันนี้ยังไม่มีใครบอกว่าต้องการโควตานี้ ยังไม่มีใครพูด แต่โดยมารยาทพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดมีอะไรก็ต้องปรึกษาหารือกันด้วยเหตุด้วยผล

ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ  พรรค ก.ก. กล่าวถึงวันที่ 7 ส.ค.ว่าเป็นวันที่ปกติ คิดงานยาวไปจนถึงเดือน ก.ย.แล้ว เชื่อว่าภายใต้นิติรัฐนิติธรรม ทั้งกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก.ก.ได้ชี้แจงเรื่องข้อกฎหมาย รวมทั้งเอกสารเท็จที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญคลาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริง รวมถึงการที่นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค ก.ก.ได้ชี้แจง หรือความกรุณาของ ศ.สุรพล นิติไกรพจน์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชน ที่มาเป็นพยานในคดีให้

เมื่อถามว่า หากพรรคก้าวไกลถูกยุบพรรคอาจเปลี่ยนจากการเกิดงูเห่า กลายเป็นลักษณะของการฝากเลี้ยงแทนหรือไม่ นายวิโรจน์ตอบว่า เลือกแบบนี้สุดท้ายก็จะดูออกว่าฝากเลี้ยงไว้ เหมือนที่แซวว่าเป็นหนอน ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นงูคงไม่มี เพราะดินฟ้าอากาศทางการเมืองไม่จำเป็นขนาดนั้น เนื่องจากรัฐบาลก็ได้เสียงข้างมากไปแล้ว และได้เห็นบทเรียนของงูเห่าชุดหนึ่งไปแล้ว ว่านอกจากไม่ได้รับการเลือกตั้งกลับมาแล้ว ยังเป็นความด่างพร้อยของวงศ์ตระกูล

วิโรจน์มั่นใจไร้งูเห่า

“เชื่อมั่นว่าจะไม่มีงูเห่า สุดท้ายเป็นเรื่องที่พูดแซวกันมากกว่า และคนที่มาทาบทามก็ลักษณะเหมือนกับโยนหินถามทาง ก็แค่นั้นเอง” นายวิโรจน์ระบุ

เมื่อถามถึงรายชื่อหลุดว่าเตรียมย้ายไปพรรคอื่น นายวิโรจน์มองว่า แล้วแต่จะรังสรรค์ปั้นแต่ง เชื่อว่าผู้ที่ปล่อยเรื่องนี้ออกมาพยายามทำให้ สส.พรรคแตกคอแตกแยกกัน ขออย่าไปสนใจเขาเหล่านั้น หากมัวแต่มามองซ้ายมองขวา ไม่ไว้ใจกันก็ทำงานใหญ่ไม่ได้ เพราะคนที่ไปสุดท้ายก็ไป ให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ดีกว่า

ส่วนนายจุลพงศ์ อยู่เกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก.ได้แถลงตอบโต้นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมากล่าวหาพรรคหลายประการในการต่อสู้คดียุบพรรค ว่าการแสดงความเห็นดังกล่าว เกิดจากความมีอคติส่วนตัว และความไม่เป็นมืออาชีพในตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาล เพราะการที่พรรคยกข้อต่อสู้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณายุบพรรคเป็นเรื่องปกติ ตรงกันข้ามการที่ผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายพูดชี้นําศาลรัฐธรรมนูญ ว่าการยกข้อต่อสู้ดังกล่าวเป็นการละเมิดอำนาจศาลนั้น หากไม่ใช่มีความรู้อันจำกัด ก็น่าจะแสดงความเห็นโดยมีอคติส่วนตัวกับพรรคก้าวไกล

นายจุลพงศ์กล่าวว่า ส่วนที่พรรคยกข้อต่อสู้ว่า กกต.ดำเนินการไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และระเบียบ กกต.ในเรื่องการรวบรวมพยานหลักฐาน เพราะ กกต.ไม่ได้เรียกให้พรรคชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อหักล้างข้อกล่าวหา เพราะขั้นตอนการรวบรวมและรับฟังพยานก่อนฟ้องคดีนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากในการดำเนินคดี

นายจุลพงศ์กล่าวอีกว่า การใส่ร้ายพรรคว่าดึงต่างประเทศมากดดันศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเรื่องที่บุคคลที่มีความคิดขาดวุฒิภาวะและความเข้าใจสภาพสังคมไทยในปัจจุบัน ที่ไทยไม่สามารถอยู่โดดเดี่ยวในสังคมโลกได้ และคุณค่าของสังคมโลกขณะนี้คือ การมีสิทธิมนุษยชนและสิทธิทางการเมืองของประชาชน เมื่อประเทศไทยเกิดรัฐประหารครั้งใด นานาชาติก็จะตัดการเจรจาการค้าและความร่วมมือทางทหารกับประเทศไทย

 “นายกฯ ควรทบทวนการทำงานของรองโฆษกรัฐบาลคนนี้ ว่าได้แสดงความเห็นแบบมืออาชีพหรือไม่ เพราะไม่ได้บอกว่าเป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่ความเห็นของรัฐบาล  มิเช่นนั้นประชาชนจะเข้าใจว่านายกฯ เห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมือง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับพรรคไทยรักไทย และพรรคประชาชน” นายจุลพงศ์ระบุ

เด็ก ปชป.เตือน 18 ปท.อย่าจุ้น

ส่วน น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีต สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงท่าทีของทูต 18 ประเทศต่อการพิจารณาคดีพรรคก้าวไกลว่า มีความหมิ่นเหม่ เสมือนเป็นความพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าการพิจารณาคดีดังกล่าวตั้งอยู่บนข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและพฤติกรรมอันเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ โดยพรรค ก.ก.ได้ต่อสู้คดีความตามวิถีของตนเองแล้ว และไม่มีกลไกใดขัดขวางการต่อสู้ดังกล่าว

น.ส.รัชดากล่าวต่อว่า การแสดงออกของกลุ่มทูต 18 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นท่าทีให้การสนับสนุน เห็นอกเห็นใจ  รวมถึงการประกาศไม่เห็นด้วยกับการยุบพรรคก้าวไกล ถือเป็นเรื่องผิดมารยาทอย่างมาก ทั้งนี้ขอให้คณะผู้แทนประเทศเหล่านั้นตระหนักไว้ว่า สิ่งที่ได้ทำไปไม่ได้สร้างประโยชน์ต่อยอดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแต่อย่างใด ซึ่งไทยไม่เคยเรียกร้องหรือแสดงออกทางใดทางหนึ่งที่เป็นการไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมของประเทศอื่นเลย จึงเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศจะต้องยึดถือให้ตรงกัน

 “กระทรวงการต่างประเทศทำอะไรอยู่ ได้ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศบ้างไหม หรือปล่อยให้ทูตประเทศต่างๆ รับข้อมูลแต่เพียงด้านเดียว จึงเป็นเหตุให้แสดงท่าทีออกมาเสมือนคนไม่รู้เช่นนี้ จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศแสดงบทบาทผู้ปกป้องกระบวนการยุติธรรมไทย กฎหมายไทย เพื่อหยุดยั้งท่าทีแทรกแซงประเทศของเรา ซึ่งสุดท้ายกระทบต่อความรู้สึกคนไทยอย่างแน่นอน”น.ส.รัชดากล่าว

นายภวัต เชี่ยวชาญเรือ โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวถึงกรณีนายพิธาเข้าพบเอกอัครราชทูต อุปทูตและเจ้าหน้าที่จากประเทศในทวีปยุโรป 18 ประเทศ เพื่อหารือแลกเปลี่ยนวิกฤตประชาธิปไตยและกรณียุบพรรคก้าวไกลว่า ถือเป็นการใช้วิชามาร โดยเทคนิคร่อนหนังสือเชิญชวนท่านทูต อุปทูตในประเทศยุโรป อ้างเหตุหารือวิกฤตประชาธิปไตยไทย ซึ่งนายพิธามีอำนาจอะไรเรียกทูตมาหารือ เป็นการชักศึกเข้าบ้าน ให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของประเทศหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม ไทยเคยเสียสิทธิสภาพอาณาเขตมาแล้วครั้งหนึ่งในสนธิสัญญาเบาว์ริง นายพิธาจะให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทยโดยการกดดันศาลหรือไม่อย่างไร ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเกิดความเสียหาย อย่าลืมว่ารัฐบาลมาจากการเลือกตั้งไม่ได้มาจากการยึดอำนาจ

“7 สิงหาคมตรงกับวันพระบิดาแห่งกฎหมายไทย  พระสยามเทวาธิราชประเทศไทยมีจริง สยามไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใด ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเหตุผล ตรรกะในปัญหาข้อกฎหมาย และปัญหาข้อเท็จจริงบนพื้นฐานหลักนิติรัฐและนิติธรรม ประชาชนภายในประเทศยอมรับอย่างแน่นอน ขอให้พี่น้องประชาชนใจเย็นๆ คอยฟังข่าวสารและอยู่ในที่ตั้ง” นายภวัตระบุ

สภาสูงล่าชื่อค้านยุบ ก.ก.

ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี  โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อแถลงการณ์พรรคไทยภักดี โดยระบุว่า คำแถลงของนายพิธาก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย คดียุบพรรคก้าวไกล ในวันที่ 7 ส.ค. พบว่ามีการปลุกปั่นบิดเบือนให้ประชาชนเข้าใจผิดในหลายๆ กรณี  พรรคจึงขอเรียกร้องพรรค ก.ก.ที่อ้างว่าเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย หยุดบิดเบือน ให้ร้ายในสิ่งที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และไม่ว่าผลคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อพรรค ก.ก. ขอให้เคารพคำตัดสินของศาล เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเดินหน้าต่อไปได้

ส่วนนายปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม  กล่าวว่า ได้พูดคุยกับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก ต่อกรณีอนาคตทางการเมืองหากพรรค ก.ก.ถูกยุบและนายปดิพัทธ์ต้องถูกตัดสิทธิ์ว่า พรรคเป็นธรรมจะไม่ส่งผู้สมัครและให้เป็นสิทธิของพรรคการเมืองใหม่ซึ่งจะมาแทนพรรค ก.ก.ดำเนินการ

วันเดียวกัน น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. กล่าวถึงคดียุบพรรคก้าวไกลว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ข้อกังวลเฉพาะของคนไทย แต่เป็นข้อกังวลของนานาประเทศทั่วโลกไปแล้ว ที่ต่างก็ออกแถลงการณ์ในเรื่องที่องค์กรต่างๆ ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนสามารถยุบพรรคการเมืองที่มาจากประชาชนได้ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นความกังวลของนานาประเทศที่อยู่ในกลไกของประชาธิปไตยและมองเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งในส่วนของ สว.เองก็จะต้องแสดงจุดยืนเรื่องนี้ด้วย

 “สว.น่าจะมีการออกแถลงการณ์ออกมา โดยอยู่ระหว่างพิจารณาร่างแถลงการณ์ ก่อนจะนำเสนอในวันที่  5-6 ส.ค. ซึ่งไม่ใช่ สว.พันธุ์ใหม่หรือ สว.กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง  อาจเป็นภาพรวมของ สว.ว่าจะมีจุดยืนตรงนี้อย่างไร ก็ขอเชิญชวนให้กลุ่ม สว.ทุกคนที่ตระหนักในเรื่องกลไกประชาธิปไตยมาร่วมกันลงชื่อตรงนี้ด้วย” น.ส.นันทนา กล่าว

ส่วนรายละเอียดเนื้อหาของแถลงการณ์ น.ส.นันทนา กล่าวว่า จะเป็นการแสดงความกังวลในเรื่องขององค์กรอิสระ ที่สามารถเข้ามากำหนดและเปลี่ยนแปลงเรื่องของทิศทางการเมืองไทย จะมองในเรื่องของหลักการประชาธิปไตยที่เป็นอารยะ

นางอังคณา นีละไพจิตร สว. กล่าวว่า ในระบอบประชาธิปไตยการยุบพรรคการเมืองนั้นไม่ควรเกิดขึ้น และครั้งนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีเหตุการณ์ยุบพรรคการเมือง ทั้งนี้ ในกรณีของพรรคก้าวไกลนั้น ที่ชนะการเลือกตั้งและมีคะแนนมาเป็นอันดับ 1 มีประชาชนร่วมบริจาคเงินให้พรรคเป็นจำนวนมาก ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำให้มีการยุบพรรคได้ง่าย และทั่วโลกต่างจับตาเพราะการยุบพรรคถือเป็นเรื่องใหญ่

 “สว.ต้องมีการคุยกันว่า เราน่าจะแสดงท่าทีคิดเห็นต่อกรณีนี้ แต่กำลังหารือกันอยู่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ส่วนกรณีที่หากต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องอาศัยเสียงของ สว.นั้น คิดว่า สว.น่าจะให้การสนับสนุน โดยเฉพาะเสียงข้างมาก เนื่องจากการยุบพรรคไม่ใช่เป็นเรื่องพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่กระทบต่อทุกพรรคการเมือง” นางอังคณากล่าว

นิพิฏฐ์เตือนสติ สว.

นายปฏิมา จีระแพทย์ สว. กล่าวว่า อยากให้กระบวนการพิจารณาด้วยความเป็นธรรม ซึ่งเห็นการทำงานของพรรค ก.ก.ที่ทำงานเป็นฝ่ายค้านมีคุณภาพมาก ทั้งในการอภิปรายและการเสนอญัตติต่างๆ รู้สึกเสียดายที่จะไม่มีพรรคฝ่ายค้านที่มีคุณภาพเช่นนี้

ส่วนนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณี สว.พันธุ์ใหม่ล่ารายชื่อ สว.ค้านยุบพรรคก้าวไกลว่า ไม่ได้คาดหวังอะไรกับการทำหน้าที่ของ สว.  เพียงแต่อยากเห็นแต่ละคนแต่ละฝ่ายในบ้านเมืองนี้ต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น บ้านเมืองจึงจะมีความเป็นปกติสุข ใครผิดใครถูกก็ให้ศาลตัดสินไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย แต่จู่ๆ สว.จะยื่นคัดค้านไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคก้าวไกล ก็เพียงคิดว่า สว.ไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง แนะนำให้ไปดูรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 สว. สส.ต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งของตนกระทำการอันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่นหรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม  

“การล่ารายชื่อ สว.ค้านศาลนั่นเป็นการก้าวก่ายการทำหน้าที่ของศาล ผลของการก้าวก่ายคือ ต้องพ้นจากตำแหน่งมาตรา 111 (7) นี่ผมเตือนเอาบุญนะครับ การกระทำของท่านไม่ได้เป็น สว.พันธุ์ใหม่หรอก แต่เป็น สว.กลายพันธุ์เสียมากกว่า ช่วยไม่ได้นะครับ ถ้ามีนักร้องเกิดมาอ่านข้อความในโพสต์ผม และเห็นว่าการกระทำของท่านเป็นความผิดสำเร็จแล้ว และยื่นถอดถอนท่าน ท่านก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้”

 รศ.ดร.พรอัมรินทร์ พรหมเกิด อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิเคราะห์ถึงการพิจารณาตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 7 ส.ค.ว่า เชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีแนวโน้มที่จะถูกพิจารณาตัดสินยุบพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคทั้ง 11 คนจะถูกตัดสิทธิทางการเมืองตามคำสั่งของศาล ซึ่งจะเป็นการจารึกประวัติศาสตร์การเมืองใหม่ของไทย ที่พรรคที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนทั่วประเทศ จนได้ สส.มากที่สุดกลับไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลและต้องมาถูกยุบพรรค ซึ่งจะเป็นแรงเหวี่ยงและแรงกระตุ้นให้ผู้ที่รักประชาธิปไตย และผู้ที่ให้การสนับสนุนพรรคก้าวไกลออกมาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ และแสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เพราะเหตุผลที่ กกต.ระบุคือ พรรคก้าวไกลมีความผิดตามมาตรา  112 สู่การล้มล้างการปกครอง ทำลายความมั่นคงของรัฐ  เป็นความผิดที่รุนแรง ทั้งที่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้นทุกคนรู้อยู่แก่ใจ

 รศ.ดร.พรอัมรินทร์กล่าวอีกว่า เป็นเรื่องปกติที่มีกระแสข่าว สส.พรรคก้าวไกลจะถูกทาบทาม หรือถูกจีบไปร่วมพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงที่กำลังเกิดขึ้น  แต่การจะย้ายไปพรรคการเมืองใด ตัวอย่างที่ผ่านมาก็มีให้เห็นแล้ว เพราะเมื่อย้ายพรรคการเลือกตั้งครั้งต่อไปก็ไม่ได้กลับมาหลายคน ส่วนแม่ทัพพรรคก้าวไกลคนใหม่ที่เหมาะสมจะมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนต่อไปคือ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถขับเคลื่อนความเป็นพรรคก้าวไกล และอุดมการณ์ของพรรคก้าวไกลทางการเมืองในอนาคตต่อไปได้อย่างเหมาะสม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ห่วงคนไทยในตะวันออกกลาง ส่อรุนแรงเสี่ยงเกิดสงคราม

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ห่วงใยคนไทยในตะวันออกกลาง สั่งการกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความดูแลประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อพิจารณาการช่วยเหลือดูแลคนไทยอย่างทันท่วงที