เสี่ยนิดชื่นมื่นลุงตู่ให้กำลังใจ

ชื่นมื่น “เศรษฐา” เผยหลังพบ “ลุงตู่” ในงานศพ ท่านเมตตาให้กำลังใจ แนะให้อดทน รู้ทำงานหนัก  พร้อมบอกให้ รทสช.ช่วยทำงาน ยันไม่มีใครดื้อ ช่วยงานกันดี เผยสิงหาคมไม่มีการปรับ ครม. เพราะมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบตุลาการเยอะไปหมด “กรมราชทัณฑ์”  แจงปมนับวันพ้นโทษ “ทักษิณ” 31 ส.ค. 67 ยันคำนวณถูกตามกฎหมาย เหตุเริ่มนับจากวันที่ได้อภัยลดโทษ 31 ส.ค. 66

เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2567 ที่กรมชลประทาน ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี ที่มาร่วมฟังสวดพระอภิธรรมในงานศพคุณแม่ชดช้อย ทวีสิน มารดา ว่าตามที่เห็นท่านให้ความเมตตา ซึ่งท่านมางานสวดศพคุณแม่ และระหว่างเดินมาก็ได้ให้กำลังใจ โดยท่านบอกว่าเป็นกำลังใจให้นะ ไปไหนมาบ้าง ซึ่งเมื่อวันที่ 4 ส.ค. ตนได้ไปจังหวัดนราธิวาสมา ท่านก็บอกว่าโอ้ยทำงานหนักเลย

และได้เดินผ่านรัฐมนตรีและสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่มาให้การต้อนรับ ท่านก็บอกว่าให้ช่วยนายกฯ ดีๆ นะ และหันไปแซวบางคนว่าคนนี้ดื้อไหม  อะไรอย่างไรไหม ตนก็บอกว่าไม่ดื้อ ไม่มีใครดื้อ ทุกคนทำงานกันไม่มีเวลาดื้อ ปัญหาของพี่น้องประชาชนเยอะ ซึ่งท่านก็หัวเราะ และยังเดินผ่าน 2-3 ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่  เช่น นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งท่านก็บอกว่าโอ้ยนี่ช่วยเหลือได้ดี ซึ่งตนก็บอกว่าใช่ เป็นกำลังสำคัญ ก็เป็นการพูดคุยกันอย่างมีมิตรภาพที่ดี และระหว่างที่นั่งอยู่ นายอานันท์  ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีก็นั่งด้วย ก็มีการพูดคุยกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ฝากข้อห่วงใยอะไรหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า ท่านบอกให้อดทน และท่านเป็นกำลังใจให้ และท่านก็ฝากตนกับพรรครวมไทยสร้างชาติ บอกให้ช่วยซึ่งกันและกัน ซึ่งก็เป็นความเมตตา           เมื่อถามว่า ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่ได้พบกับ พล.อ.ประยุทธ์ หลังพบกันที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งได้พูดคุยกันเยอะใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า "ไม่ครับ  เคยได้เจอกันหลายครั้งกว่า 10 หน ระหว่างร่วมงานพระราชพิธี ระหว่างนั่งคอยที่ห้องรับรองก็พูดคุยกันเยอะหลายๆ เรื่อง มีการขอความเห็นท่านหลายๆ เรื่องอยู่แล้ว  ซึ่งไม่ได้ปรากฏเป็นภาพออกไป"

ซักว่า จะมีโอกาสนัดพบและพูดคุยกันถึงเรื่องบ้านเรื่องเมืองเป็นกรณีพิเศษหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ถ้าเกิดมีความจำเป็นก็คงต้องไปคุย ตนยินดีกับทุกท่านอย่างที่เคยบอก อดีตนายกรัฐมนตรีทุกท่านตนรับฟังความคิดเห็น เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ได้คุยกับนายอานันท์ แต่คุยเป็นเรื่องส่วนตัวมากกว่า

ถามว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์บอกกับพรรครวมไทยสร้างชาติว่าอย่าดื้ออย่าเกเร ให้ช่วยงานนายกฯ  แล้วพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ดื้อและเกเรหรือเปล่า  จังหวะนี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์  ซึ่งยืนอยู่ด้วยตอนสัมภาษณ์ได้หัวเราะ ขณะที่นายกฯ ก็หัวเราะพร้อมกล่าวว่า ไม่ดื้อ อย่างที่ตนเคยบอกเป็นเรื่องภายในของเขา ตนไม่เคยต้องไปถาม ร.อ.ธรรมนัส เรามุ่งมั่นทำงานกันอยู่แล้ว ตรงนี้อย่าเป็นประเด็นเลย เอาเรื่องพี่น้องประชาชนเป็นหลักดีกว่า

นายเศรษฐายังให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าว พรรครวมไทยสร้างชาติเสนอชื่อปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในโควตาของพรรคที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่งว่า ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าวันเดียวกันนี้ แต่เรื่องยังไม่ถึงมือของตน ตอนนี้ในเดือน ส.ค.คิดว่ามีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบตุลาการเยอะไปหมด จริงๆ แล้วต้องให้เกียรติตรงนั้นก่อนดีกว่า ให้หลายเรื่องมันจบไปก่อนดีกว่ามั้ง แต่แน่นอนถ้าเกิดพรรคร่วมรัฐบาลเสนอมาเราก็ต้องพิจารณา แต่ว่าคงไม่ใช่เร็วๆ นี้ เพราะยังมีเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญ ต้องให้เกียรติตรงนั้นก่อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกระแสข่าวการปรับ ครม. แต่นายเศรษฐายืนยันว่าเวลานี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน ขณะที่โควตารัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติยังว่างอยู่ 1 ตำแหน่ง หลังจากนายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ลาออกจากตำแหน่ง รมช.การคลังนั้น ล่าสุดนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ได้ทำหนังสือถึงนายกฯ แสดงเจตจำนงเกี่ยวกับโควตารัฐมนตรีของพรรค รทสช.ที่ว่างอยู่ 1 ตำแหน่งนั้น โดยที่ยังเป็นโควตาของพรรค และจะมีการสลับสับเปลี่ยนภายในพรรค รทสช.เอง

ทั้งนี้ หากมีการปรับ ครม.พรรคขอเสนอชื่อของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรคเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เนื่องจากขณะนี้นายเอกนัฏถือว่าไม่มีคดีความติดตัวแล้ว อีกทั้งนายเอกนัฏได้ทำผลงานในการเลือกตั้งและงานสภาฯ ได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด ดังนั้นหากนายกฯ จะปรับ ครม. พรรค รทสช.ก็พร้อมเสนอชื่อนายเอกนัฏทันที ทั้งนี้หนังสือฉบับดังกล่าว ได้ส่งถึงมือนายเศรษฐาแล้วเมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา

และจากกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช กล่าวอ้างว่า กรมราชทัณฑ์ได้คำนวณวันพักการลงโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพักโทษและเตรียมพ้นโทษในวันที่ 31 ส.ค.นี้คลาดเคลื่อนหรือไม่ โดยหากกรมราชทัณฑ์นับวันพักการลงโทษผิด ใครจะรับผิดชอบ และจะมีความผิดตามมาตรา 157 หรือไม่นั้น

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. กรมราชทัณฑ์ได้เผยแพร่เอกสารชี้แจงว่า นายทักษิณต้องโทษจำคุกตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 66 ต่อมาได้รับพระราชทานอภัยลดโทษให้เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. 66 จึงจะพ้นโทษจำคุกในวันที่ 31 ส.ค. 67 สำหรับประเด็นนับวันพักการลงโทษ ในหลักเกณฑ์การพิจารณาพักการลงโทษกรณีพิเศษ กำหนดเงื่อนไขว่าต้องรับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือ 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่านั้น โดยกรณีนี้จะเริ่มนับวันต้องโทษตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 66 เป็นระยะเวลา 6 เดือน หรือ 180 วัน  และปล่อยตัวคุมประพฤติในวันที่ 18 ก.พ. 67 ถูกต้องแล้ว ทั้งนี้การคำนวณระยะเวลาจำคุก 6 เดือนนั้น เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 ซึ่งบัญญัติว่า “ในการคำนวณระยะเวลาจำคุก ให้นับวันเริ่มจำคุกรวมคำนวณเข้าด้วย และให้นับเป็นหนึ่งวันเต็มโดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนชั่วโมง ถ้าระยะเวลาที่คำนวณนั้นกำหนดเป็นเดือน  ให้นับ 30 วันเป็นหนึ่งเดือน ถ้ากำหนดเป็นปี ให้คำนวณตามปีปฏิทินในราชการ เมื่อผู้ต้องคำพิพากษาถูกจำคุกครบกำหนดแล้วให้ปล่อยตัวในวันถัดจากวันที่ครบกำหนด”  กรมราชทัณฑ์จึงขอชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง

ด้านนายเทพไทได้โพสต์เฟซบุ๊กตอบกลับเรื่องดังกล่าวว่า “เมื่อผมได้ตั้งข้อสงสัยการนับวันพักโทษของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่เปลี่ยนแปลงกำหนดวันพ้นโทษจากวันที่ 22 สิงหาคม 2567 เป็นวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ว่ามีความคลาดเคลื่อนหรือไม่

จากคำชี้แจงของกรมราชทัณฑ์ ปรากฏว่าทางกรมฯ ใช้หลักการนับวันพักโทษ ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2566  ไม่ได้นับตั้งแต่วันที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ จึงทำให้วันพักโทษของคุณทักษิณ ตรงกับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ผมขอขอบคุณในคำชี้แจงครับ”.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ห่วงคนไทยในตะวันออกกลาง ส่อรุนแรงเสี่ยงเกิดสงคราม

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ห่วงใยคนไทยในตะวันออกกลาง สั่งการกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความดูแลประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อพิจารณาการช่วยเหลือดูแลคนไทยอย่างทันท่วงที