ก้าวไกลดิ้นเฮือกสุดท้ายสู้คดียุบพรรค! ชัยธวัชตอกย้ำศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบ พร้อมโบ้ย กก.บห.ไม่เคยมีมติหรือสั่งสมาชิกไปประกันแก๊ง 3 นิ้ว ทุบโต๊ะศาลไร้อำนาจเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง หากทำได้ก็ไม่ควรเกิน 5 ปี “พิธา” เลกเชอร์เรื่องสถาบัน อึ้งบอกเป็นเจตนาดีแก้ 112 เพื่อฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับสถาบันในยุคเปลี่ยนแปลง
เมื่อวันที่ 2 ส.ค.2567 ที่ทำการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ก.ก. ร่วมแถลงชี้แจงเนื้อหา และสรุปข้อต่อสู้ในเอกสารคำแถลงปิดคดียุบพรรค ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 ส.ค.นี้
นายชัยธวัชกล่าวว่า พรรคยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจในการรับคำร้องคดีนี้ไว้วินิจฉัย ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่ามีอำนาจตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น เราขอยืนยันว่า กฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้ไปเพิ่มขอบเขตอำนาจของศาล นี่จึงขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และไม่สามารถนำคำวินิจฉัยคดี 3/2567 หรือคดียุบพรรคอนาคตใหม่มาเป็นบรรทัดฐาน หรือเหตุผลที่ศาลรับคำร้องในคดีนี้ได้
นายชัยธวัชย้ำว่า การยื่นคำร้องคดีนี้ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่รับฟังคู่ความคดีทุกฝ่าย และเมื่อพิจารณาในหลักของความเป็นที่สุดของคำพิพากษา ทั้งในแง่มูลเหตุและข้อเท็จจริง ย่อมชัดเจนว่าไม่อาจรับฟังข้อเท็จจริงในคดีที่ 3/2567 มาผูกพันในคดีนี้ได้ ส่วนข้ออ้างที่ กกต.กล่าวหาว่าล้มล้างการปกครอง หรือการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองนั้น ถือเป็นข้อกล่าวหาใหม่ที่ศาลไม่เคยวินิจฉัยมาก่อน การนำผลคำวินิจฉัยในคดีก่อนมาปิดปากวินิจฉัยคดีนี้ จะต้องมีมาตรฐานที่เข้มข้นกว่า หรือระดับเดียวกัน ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานพิสูจน์จนสิ้นสงสัย
“พรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า กกต.ไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่า ข้อเท็จจริงตามคดี 3/2567 เป็นข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัย ไม่มีเหตุที่จะรับฟังได้เป็นอย่างอื่นและมีผลผูกพันให้ตนเองต้องเสนอต่อศาล โดยที่ไม่จำเป็นต้องแสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน รวมทั้งไม่จำเป็นต้องรับฟังผู้ถูกร้องอีกด้วย”
นายชัยธวัชยังกล่าวว่า การกระทำที่นอกเหนือจากการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทั้งหมดไม่ได้เป็นการกระทำของพรรค ก.ก. เนื่องจากไม่ได้เป็นมติของคณะกรรมการบริหารพรรค ทั้งกรณี สส.เป็นนายประกันผู้ถูกกล่าวหาในคดี 112 หรือการแสดงออกส่วนตัวอื่นๆ ขอยืนยันว่าพรรค ก.ก.ไม่ได้สั่งการ หรือบงการแต่อย่างใด นี่จึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างที่ศาลไม่สามารถรับฟังได้ และไม่ได้ล้มล้างการปกครองที่เป็นการเสนอโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ ในอดีตก็มีการเสนอแก้อยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยนำไปสู่การล้มล้างการปกครองแต่อย่างใด
นายชัยธวัชยังยกตัวอย่าง กรณี ศ.ดร.อุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาในงานวิจัยที่ได้เสนอให้สำนักเลขาธิการ เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการใช้ดุลพินิจพิจารณา ให้เริ่มดำเนินคดีอาญาผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด มาตรา 112 แทนพระมหากษัตริย์ โดยมีหลักการเดียวกันกับร่างแก้ไข มาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลเสนอ และไม่เชื่อว่านายอุดมจะมีความคิดล้มล้างการปกครอง ดังนั้นการกระทำของพรรคก้าวไกลจึงไม่ได้เป็นการกระทำที่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแต่อย่างใด
“หากพิจารณาคำวินิจฉัย 3/2567 โดยละเอียด เป็นเพียงการสั่งให้เลิกกระทำเท่านั้น มิได้ให้พรรคก้าวไกลยกเลิกนโยบายเสนอแก้ไขมาตรา 112 เป็นนโยบายหาเสียงแต่อย่างใด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพรรคก้าวไกลไม่ได้กระทำการล้มล้าง เพราะหากศาลเห็นเป็นเช่นนั้นก็ควรสั่งห้ามไม่ให้นำเสนอนโยบายนี้ด้วยในอนาคต”
นายชัยธวัชกล่าวอีกว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรยุบพรรคก้าวไกล เพราะการยุบพรรคควรเกิดขึ้นเมื่อไม่มีมาตรการอื่นที่จะยับยั้งการกระทำที่รุนแรงได้อย่างทันท่วงทีแล้วเท่านั้น มิเช่นนั้นจะทำลายหลักการระบอบประชาธิปไตย และสุดท้ายแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำสั่งยุบพรรค ก็ไม่มีอำนาจกำหนดเวลาการเพิกถอนสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้งของ กก.บห.พรรคแต่อย่างใด เพราะหากจะกำจัดสิทธิ์ก็ต้องเป็นการกระทำตามกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติเท่านั้น แต่หากศาลเห็นว่ามีอำนาจกำหนดเวลาเพิกถอนสิทธิ์การเลือกตั้ง การกำหนดเวลาดังกล่าวต้องอยู่บนหลักความพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งไม่ควรเกิน 5 ปี ไม่ใช่ 10 ปี ตามที่ กกต.ร้องขอ และการเพิกถอนนั้น ต้องเพิกถอนเฉพาะ กก.บห.ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
ขณะที่นายพิธากล่าวว่า การประสานสถาบันพระมหากษัตริย์กับระบอบประชาธิปไตยให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยรักษาคุณค่าพื้นฐานของทั้ง 2 องค์ประกอบได้อย่างสมดุล จึงเป็นโจทย์สำคัญของการธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในแต่ละประเทศย่อมมีลักษณะไม่เหมือนกัน และมิได้มีลักษณะหยุดนิ่งตายตัว
นายพิธากล่าวว่า ในประวัติศาสตร์ของเรา พระมหากษัตริย์ทรงพระปรีชาในการปรับตัวจนสามารถแผ่พระบารมีปกเกล้ามาจนถึงทุกวันนี้ แต่ความพยายามทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีลักษณะหยุดนิ่งตายตัว แตะต้องเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมเป็นอันตรายต่อระบอบการปกครองของเรา เพราะจะทำให้สูญเสียความยืดหยุ่น ความสามารถในการปรับสมดุลใหม่ให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และเงื่อนไขทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เสียโอกาสที่จะรักษาสิ่งเก่า และเชื่อมประสานกับสิ่งใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบอบประชาธิปไตยกับสถาบันพระมหากษัตริย์แปลกแยกต่อกัน
“การปกปักรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการใช้อำนาจกดปราบ ไม่ว่าจะเป็นการกดปราบโดยใช้กำลัง หรือการกดปราบในนามของกฎหมาย แต่ต้องสร้างสมดุลให้ได้สัดส่วนเหมาะสมตามยุคสมัย เพื่อให้ระบอบนี้มั่นคงยั่งยืนด้วยความเชื่อมั่น ศรัทธา และความยินยอมพร้อมใจของประชาชน” นายพิธากล่าว
นายพิธากล่าวอีกว่า หลายปีที่ผ่านมา การนำประเด็นเกี่ยวกับความจงรักภักดีมากล่าวหาโจมตีกันในทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการรัฐประหาร ทั้งการรัฐประหารโดยกำลังทหารและโดยกฎหมาย รวมถึงการแสดงความจงรักภักดีอย่างล้นเกิน เพื่ออำพรางการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างฉ้อฉลของคนบางกลุ่ม ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางการเมืองตามยุคสมัย ได้กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางการเมือง และความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ ซึ่งสังคมไทยในอดีตไม่คุ้นเคย แต่แทนที่ผู้มีอำนาจจะตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต และพยายามแสวงหากุศโลบายด้วยสติและปัญญา เพื่อคลี่คลายแรงตึงเครียดในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทยในการสร้างฉันทามติใหม่ที่สอดคล้องกับยุคสมัย กลับเลือกที่จะใช้อำนาจกดบังคับประชาชนมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในลักษณะเข้มงวดรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“จากสถานการณ์ดังกล่าว สส.พรรคก้าวไกลจึงเล็งเห็นความจำเป็นที่จะเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยมีเจตนาฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างสมดุลใหม่ที่ได้สัดส่วนระหว่างการคุ้มครองพระเกียรติยศแห่งองค์พระประมุข กับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาดุลยภาพ และความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของไทย” นายพิธากล่าว และว่า เราไม่สามารถก้าวล่วง หรือคาดเดาสิ่งที่เป็นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือการยืนยันข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายทางของเรา และเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับความยุติธรรม เหมือนพรรคหนึ่ง ที่เคยได้รับมาเมื่อ 14 ปีที่แล้ว
ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. กล่าวถึงกระแสข่าวไปติดต่อพรรคถิ่นกาขาวชาววิไลรองรับการยุบพรรคไว้แล้วว่า เราได้เตรียมการ แต่ก็ยังมีความหวังว่าวันที่ 7 ส.ค.นี้ จะตัดสินเป็นคุณกับพรรคไม่ต้องถูกยุบ ซึ่งการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ อาจไม่ได้คุยแค่พรรคเดียว อาจคุยไว้หลายพรรคก็ได้
เมื่อถามถึงกรณีที่มีชื่อเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า รายชื่อที่ผ่านมาอาจมีความไม่แน่นอน แต่เราก็เตรียมความพร้อม และ ณ วันนี้ถ้ามีใครไปถามสมาชิกพรรคคนอื่นๆ หรือ สส.คนอื่นๆ เราก็แสดงความพร้อมเต็มที่ ว่าพร้อมหรือไม่เราก็คงแสดงความพร้อมเต็มที่ถ้าต้องรับบทบาทหน้าที่ต่างๆ กรณีมีเหตุการณ์ที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ขอให้สื่อมวลชนรอวันที่ 7 ส.ค. โดยย้ำว่ายังมีความหวังว่าพรรคจะไม่ถูกยุบ
เมื่อถามถึงความพร้อมในการถือธงนำพรรคสู้ศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป ที่ถูกมองว่าอาจเป็นการแข่งกันระหว่างนางพญาของ 2 พรรค น.ส.ศิริกัญญายิ้มไม่ตอบคำถาม พร้อมย้ำว่าให้รอผลการวินิจฉัยวันที่ 7 ส.ค.ก่อน
ส่วนนายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีนายชัยธวัชวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป.พรรคการเมืองว่าด้วยการยุบพรรคการเมือง ว่าคดียุบพรรคการเมือง ไม่ใช่ว่าใครจะยุบกันง่ายๆ เพราะทุกอย่างต้องมีขั้นตอนพิสูจน์มูลเหตุแรงจูงใจ เจตนาและพยานหลักฐานในการกระทำความผิดที่ครบถ้วน ศาลหรือองค์กรอิสระถึงจะสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นได้
“การที่นายชัยธวัชอ้างว่าตอนนี้มีความพยายามสถาปนาระบอบอำนาจนิยม เผด็จการแบบไทยๆ โดยใช้คำสวยหรู ว่านิติรัฐแบบไทยๆ ต่างๆ เหล่านี้ เบื้องลึกแล้วนายชัยธวัชมีเจตนานัยอะไร หากเกี่ยวกับคดียุบพรรคก้าวไกล ทำให้ถูกมองว่าเป็นการสร้างความไม่เชื่อมั่น หรือดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม โยนความผิดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เรื่องนี้หากพรรคการเมืองไม่ทำผิดเสียอย่าง ก็ไม่มีใครหน้าไหนมาสั่งให้ยุบพรรคได้ง่ายๆ” นายธนกรย้ำ
นายภวัต เชี่ยวชาญเรือ โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวถึงการชี้แจงของพรรคก้าวไกลในเรื่องยุบพรรคว่า ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีพยานหลักฐานใหม่ เคยแถลงในสื่อก่อนหน้านี้ไปแล้ว ที่สำคัญผู้แถลงทั้งสอง เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดี เป็นการชี้นำประชาชนหรือไม่อย่างไร
“พิจารณาจากคำแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลวันนี้ เป็นเพียงการแก้ตัว ขว้างงูไม่พ้นคอ มีน้ำหนักน้อย เพราะเหตุนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกล เป็นการกระทำของนายพิธาและสมาชิกพรรคบางคนโดยตรง ไม่มีใครไปกลั่นแกล้ง” นายภวัตระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปปช.เปิดทรัพย์สิน 'ก่อแก้ว' สุดอู้ฟู่รวย 263 ล้านบาท
เปิดเซฟ 'ชัยธวัช ตุลาธน' อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล 19.3 ล้านบาท 'อภิชาติ' อดีตเลขาธิการพรรค 13.2 ล้านบาท 'ก่อแก้ว' อู้ฟู่ 263 ล้าน
สั่งประหารชีวิต ‘แอม ไซยาไนด์’ คุกผัวเก่า-ทนาย
ศาลพิพากษาประหารชีวิต "แอม ไซยาไนด์" วางยาฆ่าก้อย พร้อมชดใช้ 2.3 ล้าน
ธ.ค.เปิดชื่อแจกหมื่นเฟส2 หั่นเงินส่งFIDFแลกแก้หนี้
“คลัง” ปักธงแจกหมื่นเฟส 2 เป็นเงินสด ให้กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป 4 ล้านราย
ผบ.ทร.ดันฟริเกต2ลำ ลุ้นไฟเขียว‘เรือดำน้ำ’
ผบ.ทร.ดันฟริเกต 2 ลำ งบปี 69 เล็งใช้อู่ในประเทศต่อเรือ
พท.ขู่ฟ้องกลับธีรยุทธ
"นายกฯ อิ๊งค์" วางคิวแถลงผลงานรัฐบาลรอบ 100 วัน 12 ธ.ค.
พลิก!สยามผบช.น. สันติไปปส.น้องเสธ.หิคุมไซเบอร์/ประสบการณ์ใหม่‘อิ๊งค์’
"นายกฯ" นั่งหัวโต๊ะ ก.ตร. ลากยาว 4 ชม. ถกแต่งตั้ง 41 นายพลสีกากีระดับรอง