‘อนุทิน’นำ‘มท.-ศธ.-อว.’ ทำMOUปราบยาเสพติด

"อนุทิน" เร่งเครื่อง 3 กระทรวงใหญ่ในกำกับ "มท.-ศึกษาฯ- อว." ทำ MOU เพิ่มความร่วมมือสางปัญหายาเสพติด ลดผู้เสพหน้าใหม่ปกป้องอนาคตชาติ ลุยคัดกรองบุคลากรในสังกัด นักเรียน นักศึกษาแบบสมัครใจไม่ให้กระทบสิทธิ์ ด้าน  มท.จัดนำร่องบุคลากรทุกระดับแห่ร่วม "มหาดไทยสีขาว" พร้อมเผยผลงานปราบปรามจับผู้ค้าทั่วประเทศแล้ว 4,779 คน ส่งผู้เสพ ผู้ป่วยจิตเวชเข้ากระบวนการรักษาต่อเนื่อง

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโฆษกกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม เวลา 11.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดระหว่าง 3 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศึกษาธิการ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.อว. พร้อมผู้บริหารระดับสูงของทั้ง 3 กระทรวงเข้าร่วม ณ สวนมหาดไทย  กระทรวงมหาดไทย 

โดยการ MOU ครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายที่นายอนุทินได้มอบให้แก่หน่วยงานภายใต้กำกับ ให้ดำเนินมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยเริ่มต้นจากบุคลากรที่เกี่ยวข้องของหน่วยงานเป็นลำดับแรก ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการลงนาม MOU ในครั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยได้จัดโครงการนำร่อง “มหาดไทยสีขาว สร้างพื้นที่ปลอดภัย หยุดยั้งยาเสพติด Safe zone no drugs”  โดยตรวจปัสสาวะคัดกรองสารเสพติดในบุคลากร มหาดไทยเตรียมกำลังคนให้พร้อมสำหรับสนับสนุนการตรวจสารเสพติดในบุคลากรตามโครงการภายใต้ MOU ซึ่งปรากฏว่าในช่วงดำเนินโครงการนำร่องที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.67 เป็นต้นมา บุคลากรสังกัดกระทรวงมหาดไทยทุกระดับในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เจ้าหน้าที่ อส. ตลอดจนกำนันผู้ใหญ่ ได้สมัครใจเข้ารับการตรวจคัดกรองเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ โปร่งใส ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้นำชุมชน

นายอนุทินกล่าวว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นนโยบายสำคัญและเป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ซึ่งการจัดทำ MOU ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการยกระดับความร่วมมือของทั้ง 3 กระทรวง เพื่อร่วมกันช่วยคัดกรองหาผู้เสพ ผู้ติด เพื่อเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา แสดงถึงความเข้มงวดของหน่วยงานเพื่อป้องกันเป้าหมายทุกกลุ่มไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ไม่สามารถรอช้าได้ โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชนที่เป็นอนาคตของชาติ  และเป็นกลุ่มที่ยังสามารถได้รับการแก้ไขอย่างทันท่วงทีได้

"รัฐบาลได้ประกาศให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ และผมได้ให้นโยบายภายใต้การกำกับของผมในฐานะรองนายกรัฐมนตรีว่าจะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างเข้มข้น ซึ่งควบคู่กับการปราบปรามทางกฎหมาย ต้องใช้ทั้งมาตรการป้องกัน สร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เพื่อการลดจำนวนผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด (Demand) โดยเฉพาะผู้เสพหน้าใหม่ (New Face) ซึ่งเป็นเด็ก เยาวชนในระบบการศึกษา ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยความร่วมมือกับสถานศึกษา โรงเรียน  วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ซึ่งการ MOU ในครั้งนี้จะทำให้เกิดความร่วมมือเพื่อดำเนินการอย่างจริงจังและเข้มข้นขึ้น" นายอนุทินกล่าว 

โฆษกกระทรวงมหาดไทยกล่าวเพิ่มเติมว่า จุดประสงค์หลักภายใต้ MOU คือ สร้างการมีส่วนร่วม  ตระหนักถึงโทษของยาเสพติด และยินยอมเข้าร่วมกิจกรรมการป้องกันยาเสพติดของบุคลากร 3 กระทรวง รวมถึงเด็กและเยาชนในสถานศึกษาด้วยความสมัครใจโดยปราศจากการบังคับ ดำเนินการโดยเน้นย้ำในเรื่องของการไม่ให้กระทบสิทธิส่วนบุคคล โดยเฉพาะสิทธิเด็กและเยาวชน และมีระบบการจัดเก็บข้อมูล การรายงานผล การบำบัดรักษาอย่างเป็นความลับ

นอกจากนี้ จะผลักดันให้โรงเรียน สถานศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และ อว. จัดให้มีระบบการเฝ้าระวัง สอดส่อง สังเกตตรวจตราการแพร่ระบาดของยาเสพติดทุกรูปแบบ รวมถึงหากพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ต้องจัดให้มีระบบการคัดกรอง และประเมินความรุนแรงของการติดยาเสพติด ภาวะความเสี่ยงทางสุขภาพกาย หรือสุขภาพจิต และบำบัด ฟื้นฟูตามความเหมาะสม รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมกับเครือข่ายต่างๆ ในสังคม เพื่อให้บริเวณรอบสถานศึกษาเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดและอบายมุขอย่างเป็นรูปธรรม หากมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการทาง  กฎหมายกับบุคคล หรือสถานประกอบการที่เป็นแหล่งอบายมุข ให้บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายต่อไป

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า กรมการปกครองได้รายงานผลการปราบปรามและบำบัดรักษาผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตามนโยบายของ รมว.มหาดไทย ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศภายใต้ “บัญชี Re X-ray” พร้อมกับเข้าดำเนินการตามกฎหมาย ข้อมูล ณ 12 พ.ค.67 พบว่ามีผู้ค้ายาเสพติด  9,103 คน ดำเนินการจับกุมได้แล้ว 4,779 คน คิดเป็นร้อยละ 52.50  2) ผู้เสพ จำนวน 56,863 คน นำเข้าสู่การบำบัดและฟื้นฟูตามกฎหมายแล้ว 36,204 คน คิดเป็นร้อยละ 63.67% และ 3) ผู้ป่วยจิตเวช อันเนื่องมาจากยาเสพติดพบ 17,897 คน นำเข้าสู่การรักษา 16,636 คน คิดเป็นร้อยละ 76.19.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

พิธาปลุกด้อมส้ม2ส.ค.

"ก้าวไกล" โหมโรงคดียุบพรรค ปล่อยคลิปต่อเนื่อง ลั่นพรรคการเมืองเกิดขึ้นมาได้ด้วย