กู้เพิ่มแจกหมื่นฉลุย สภา297เสียงผ่านงบ1.22แสนล้าน/ขู่พรรครบ.สมรู้ร่วมคิด

ฉลุย! มติสภา 297 ต่อ 164 เสียง  โหวตรับร่าง พ.ร.บ.งบฯ เพิ่มเติม วงเงิน 1.22 แสนล้าน หลังฝ่ายค้านสับเละ "ดิจิทัลวอลเล็ต" กู้มาแจก "ศิริกัญญา" ซัดเสี่ยงขัด กม.หลายมาตรา ขู่พรรคร่วม รบ.อาจกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด "จุรินทร์" ชี้ไม่ได้ช่วย ศก.โตจริง "นายกฯ" รับปากใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ยึดวินัยการเงินการคลัง "รมต.คลัง"  ดาหน้าการันตีทำเพื่อ ปชช. ปลายปีเงินหมื่นถึงมือแน่ "พริษฐ์" ลั่นก้าวไกลไม่หยุดตรวจสอบ

ที่รัฐสภา วันที่ 17 ก.ค. มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท วาระแรก 

โดยเวลา 08.38 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมายังอาคารรัฐสภา เพื่อเข้าร่วมประชุมสภาฯ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมดังกล่าว ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่านายกฯ มีอาการไม่สบาย เสียงแหบ และตาแดง เนื่องจากอาการไข้หวัดและพักผ่อนไม่เพียงพอ

ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (กก.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงมติไม่รับร่างหลักการร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567

นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติร่วมกันที่จะไม่เห็นด้วยกับหลักการของร่าง พ.ร.บ.งบเพิ่มเติม ด้วยเหตุผลอย่างน้อย 3 ประการ คือ 1.เรายังยืนยันเศรษฐกิจในภาวะปัจจุบันมีปัญหาที่สมควรได้รับการกระตุ้น แต่จำเป็นต้องถูกจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม ซึ่งได้ประเมินว่าผลกระทบของมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตที่จะลงไปสู่เศรษฐกิจไทยได้ไม่คุ้มเสีย 2.ความสุ่มเสี่ยงที่จะผิดกฎหมาย รวมถึงสร้างบรรทัดฐานผิดๆ ในการจัดทำงบประมาณ และ 3.สำคัญที่สุด การใช้งบประมาณแม้ว่ามีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่จำนวนเม็ดเงินที่ใช้รวมทั้งโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจำเป็นต้องบริหารงบประมาณอย่างเหมาะสม ปัญหาของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันเป็นเรื่องมากกว่าการกระตุ้นการบริโภค

"ด้วย 3 เหตุผลนี้ จึงเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พวกเราพรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่าไม่สามารถรับหลักการ พ.ร.บ.นี้ได้" นายสิทธิพลกล่าว

กระทั่งเวลา 09.30 น. การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาเรื่องด่วนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท วาระแรก ได้เริ่มขึ้น มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร  ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยนายเศรษฐานำทีม ครม.เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง            

นายกฯ ยึดกรอบวินัยการเงิน

นายเศรษฐาชี้แจงถึงการเสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวว่า รัฐบาลมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ต่างๆ ยกระดับคุณภาพชีวิต การดำรงชีพ สร้างโอกาสประกอบอาชีพของประชาชนและภาคธุรกิจ ควบคู่กับการรักษาระดับการบริโภค การลงทุนในประเทศ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน ไม่สามารถรองบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ได้ จึงต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ

โดยประมาณการเงินที่พึงได้สำหรับจ่ายตามงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม 1.ภาษีและรายได้อื่น เป็นแหล่งเงินจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการ 1 หมื่นล้านบาท 2.เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 1.12 แสนล้านบาท ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวดำเนินการผ่านโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต คำนึงถึงความสอดคล้องภาวะเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญปี 2560 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม

นายกฯ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2-3 จากปัจจัยการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่าย การลงทุนภาครัฐ การฟื้นตัวภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการ การขยายตัวของการส่งออกสินค้า อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากภาระหนี้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ระดับสูง ความผันผวนระบบเศรษฐกิจการเงินโลกอยู่ในเกณฑ์สูง ขณะที่หนี้สาธารณะคงค้าง วันที่ 30 เม.ย.2567 มีจำนวน 11.5 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 63.78 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ยังอยู่ในกรอบบริหารหนี้สาธารณะตามกฎหมายที่ต้องไม่เกินร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ส่วนฐานะเงินคงคลัง วันที่ 31 พ.ค.2567 มี 3.94 แสนล้านบาท เงินสำรองระหว่างประเทศ 2.21 แสนล้านดอลลาร์ จัดว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก

สำหรับงบรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท จำแนกเป็นงบประมาณรายจ่ายงบกลาง 1.22 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 ของวงเงินงบประมาณ เพื่อกระตุ้นและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาทดังกล่าว เมื่อรวมกับกรอบวงเงินเดิมตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จำนวน 3.48 ล้านล้านบาท จะทำให้ปีงบประมาณ 2567 มีงบประมาณรายจ่ายรวม 3.6 ล้านล้านบาท

"แม้ว่างบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 เมื่อรวมกับกรอบวงเงินเดิมตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 จะขาดดุลเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลได้จัดสรรรายจ่ายลงทุนไว้ในงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 จำนวน 97,600 ล้านบาท เมื่อรวมกับรายจ่ายลงทุนตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 จำนวน 7.1 แสนล้านบาท ทำให้มีรายจ่ายลงทุน 8.07 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากรายจ่ายลงทุนในปีงบประมาณ 2566 ร้อยละ 17.1 คิดเป็นร้อยละ 22.4 ของวงเงินงบประมาณรวม การบริหารงบประมาณรายจ่ายทั้งหมดนี้ เป็นการใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและกระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจะดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ใช้จ่ายเงินภาษีประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด กระตุ้นเศรษฐกิจให้เม็ดเงินไหลไปสู่ประชาชนและภาคธุรกิจ สร้างการเจริญเติบโตให้ประเทศพัฒนาศักยภาพอย่างยั่งยืน และเป็นไปตามกฎหมาย" นายกฯ ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.30 น. ภายหลังจากชี้แจง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมดังกล่าวแล้ว นายเศรษฐาได้เดินทางกลับออกจากอาคารรัฐสภา เพื่อกลับไปปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ เพียงแต่ยกมือขึ้นทักทายสื่อมวลชน

ฝ่านค้านชี้ รบ.คอพาดเขียง

ต่อมา เวลา 09.50 น. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ที่มางบประมาณในการนำมาทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เมื่อไม่มีแหล่งเงินจาก ธ.ก.ส. เราจะเห็นว่าวงเงินสุดท้ายลดลงมาเหลือ 4.5 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลอ้างว่าเนื่องจากที่ผ่านมาเวลาเปิดให้ลงทะเบียนจะมีประชาชนมาลงทะเบียนเพียง 90 เปอร์เซ็นต์ กู้เกือบสุดเพดาน และเหลือให้กู้เพียงหมื่นกว่าล้านบาท ปัญหาคือเมื่อหาเงินไม่ทัน ต้องดูฝั่งรายได้ว่ารัฐบาลจะเหลืองบเพียงพอรองรับความเสี่ยงเมื่อจัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้าได้หรือไม่

น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า การโยกงบประมาณรายจ่ายปี 67 ไปใช้ในงบปี 68 ถามว่าทำได้จริงหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่น่าได้ เพราะงบกลางปีหรืองบเพิ่มเติมนั้น มาตรา 21 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังกำหนดไว้ว่า ต้องใช้จ่ายเงินระหว่างปีงบประมาณ นอกจากนี้ ในมาตรา 43 ของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 2561 ต้องก่อหนี้ผูกพันไว้ก่อนสิ้นปี ถามว่าจะก่อหนี้ผูกพันอย่างไร ซึ่งตนเดาว่ารัฐบาลจะออกมาแถสีข้างถลอกว่าการลงทะเบียนถือเป็นการก่อหนี้ผูกพัน ถ้าเป็นแบบนี้ถือว่าไม่ใช่ เพราะต้องเป็นสัญญาที่ทำทั้งสองฝ่าย ถ้าทำฝ่ายเดียวถือว่าเป็นการให้ การลงทะเบียนเป็นการทำสัญญาฝ่ายเดียว

 “ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำไมรัฐบาลถึงไม่แก้มาตรา 21 มีเสียงข้างมากในสภาอยู่แล้ว ดิฉันขอเสนอเติมท่อนสร้อยไปว่า เว้นแต่มีเหตุเป็นอย่างอื่น โดยได้รับความเห็นชอบจาก ครม. จะได้เห็นชัดๆ ว่าเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายการเมือง หรือจะแก้ไขเป็นได้รับความเห็นชอบจากนายกฯ จะได้ชัดว่าใครกันที่จะเอาคอขึ้นเขียงเวลาทำผิดกฎหมายแบบนี้ เวลาที่เราเดินหน้าลุยไฟ ทำผิดกฎหมาย คนที่เดือดร้อนที่สุดคือข้าราชการประจำตัวเล็กตัวน้อย ขณะที่ฝ่ายการเมืองยังไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไรเวลาตัดสินใจทำอะไรที่เสี่ยงผิดกฎหมาย” น.ส.ศิริกัญญากล่าว

สส.พรรคก้าวไกลระบุว่า ขอเตือนไปยังภาคเอกชนที่จะใช้ตัวเลขงบลงทุนของภาครัฐไปประมาณการอาจจะผิดพลาด เพราะมีการคำนวณรายจ่ายลงทุนของดิจิทัลที่แปลกประหลาด ถ้าไม่นับดิจิทัลว่าเป็นรายจ่ายลงทุนแล้ว อาจสุ่มเสี่ยงขัดต่อมาตรา 20 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง รายจ่ายลงทุนต้องไม่น้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณ และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินที่ขาดดุลของงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือไม่

 “โครงการนี้จะลงทะเบียนอีก 15 วัน แต่ยังหาเจ้าภาพไม่ได้ และยังคงใช้ไว้ในงบกลางและระบบลงทะเบียน เพิ่งได้ผู้ชนะการประมูล 2 เจ้า ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีระบบการชำระเงินที่ชัดเจน ดังนั้นจะทันหรือไม่ รวมถึงยังมีเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปมา และขณะนี้ก็ยังไม่มีการสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้าเข้ามาลงทะเบียนได้ ดังนั้นระบบที่ถูกออกแบบมาแบบนี้เอื้อกับร้านค้าที่มีสายป่านยาว แต่ร้านค้ารายเล็กอาจไม่เข้าร่วมโครงการ เพราะต้องการใช้เงินสดในการใช้จ่าย ซึ่งรัฐบาลก็ยังไม่บอกว่าจะต้องมีระบบการจ่ายภาษีอย่างไร ไม่มีความชัดเจนเลย ถ้าเขามีเงินสดไม่พอ จะมีสินเชื่อให้เพื่อจูงใจให้เข้าร่วมโครงการหรือไม่ ถือเป็นการกีดกันรายย่อยเป็นกลายๆ” สส.พรรคก้าวไกลระบุ

น.ส.ศิริกัญญากล่าวทิ้งท้ายว่า นี่เป็นกระสุนนัดใหญ่ นัดแรก นัดเดียว และนัดสุดท้ายของรัฐบาล ที่จะได้มีโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้ ด้วยข้อจำกัดทางงบประมาณที่จะเกิดขึ้นตามมา ฉะนั้นจึงขอส่งความห่วงใยไปยังพรรคร่วมรัฐบาลว่า ท่านจะกลายมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการทำผิดกฎหมายครั้งนี้ ในการกระทำที่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายครั้งนี้หรือไม่ ถ้ายังยึดถือหลักการหรือหลักวิชาการอะไรอยู่ในหัวใจ คงรู้ได้โดยไม่ต้องสงสัยว่าทำแบบนี้จะทำให้ประเทศเราสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต จึงขอให้ช่วยกันคว่ำร่างฉบับนี้

จุรินทร์ซัดกู้มาแจก ศก.ไม่โต

เวลา 10.25 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายว่า ที่โครงการนี้ล่าช้าไม่ใช่แรงค้านของฝ่ายไหน แต่เพราะความโหลยโท่ยของรัฐบาลเอง ที่บริหารราชการแผ่นดินเหมือนเด็กเล่นขายของ เป็นไม้หลักปักขี้เลน โอนไปเอนมา เอาแน่อะไรไม่ได้ รวมทั้งเรื่องเวลาก็เลื่อนมากี่รอบ จนวันนี้ประชาชนลงเรือเก้อมาแล้วกี่ลำ และแหล่งเงินก็กลับไปกลับมา ขนาดนายกฯ ออกมาโชว์พาว นำทีมแถลงเองบอกว่าต่อไปนี้ชัดเจน แต่ต่อมาก็ยกเลิกสิ่งที่ตัวเองแถลง นายกฯ ท่านนี้เชื่อถือได้กี่เปอร์เซ็นต์ ตอนหาเสียงบอกแจกทันทีไม่มีกู้ พอเป็นรัฐบาลไม่กี่วันก็ออกลายเลื่อนทันที มีแต่กู้  ถึงขั้นออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท แต่สุดท้ายยกธงขาว เพราะจำนนด้วยข้อกฎหมายว่าทำไม่ได้

นอกจากนี้ ที่สำคัญการหาเม็ดเงินมาแจก จากงบ 67 จำนวน 4.3 หมื่นล้านบาท ที่รัฐบาลหวังว่าจะไปเอามาจากงบกลาง มาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น อยู่ในงบกลางฉุกเฉิน ซึ่งมีอยู 9.5 หมื่นล้านบาท แต่วันนี้รัฐบาลใช้ไปแค่ 3,238 ล้านบาท แปลว่าการเบิกจ่ายเงินของจริงโดยเฉพาะงบฉุกเฉินเกียร์ว่าง เพื่อให้เงินก้อนนี้เหลือใช้เอามาแจก 4.3 หมื่นล้านบาท เพราะฉะนั้นที่พยายามออกข่าวสร้างภาพใหญ่โต เชิญหน่วยงานต่างๆ มากำชับเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อจะทำให้เศรษฐกิจปีนี้โตให้ได้ 3% เป็นเพียงแค่การละครชัดๆ เพราะพอลงลึกงบนายกฯ ยังไม่ได้ใช้เลย เพราะยังยักไว้เอามาแจก สนองนโยบายพรรคการเมืองและรัฐบาล

นายจุรินทร์กล่าวว่า สำหรับตัว พ.ร.บ.งบประมาณฉบับนี้ ประกอบด้วยหลักการ เหตุผลและเนื้อหาแค่ 6 มาตรา ขอเงินมา 1.22 แสนล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายใส่ไว้ในงบกลางเพื่อทำดิจิทัลวอลเล็ตโดยเฉพาะ และให้กระทรวงการคลังมีอำนาจสั่งจ่าย และระบุรายได้ว่าไม่ได้กู้ทั้งดุ้นเพื่อแก้เกี้ยวว่าอย่างน้อยมีรายได้มาสัก 1 หมื่นล้านบาท ระบุว่ามาจากภาษีและรายได้อื่น

"เรื่องความคุ้มค่ารัฐบาลตีปี๊บมาตลอดว่าถ้าทำดิจิทัลวอลเล็ตแล้วจะทำให้เศรษฐกิจโต 5% จะทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพราะจะนำเงิน 4.5 แสนล้านบาทไปใส่มือคนไทย จากนั้นจะหมุนไปยังร้านค้า โรงงาน และจะเกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน 6 เดือนที่แจก และจะทำให้จีดีพี เฉพาะดิจิทัลวอลเล็ตโต 1.2-1.8 พูดอย่างกับตลกคาเฟ่ ดูถูกคนคิดเลขเป็นทั้งประเทศ แต่ได้ไม่คุ้มเสีย และยังมีค่าเสียโอกาสเพราะลงทุนกู้มา 5 แสนล้านบาท คิดจีดีพีอาจจะ 3 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับกู้มาลงทุน 3 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี แต่ผลได้ทุกหน่วยพูดตรงกันจะทำให้เศรษฐกิจโตได้แค่ 0.2 เปอร์เซ็นต์ ปี 68 โต 0.3 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลที่บอกว่าจะทำให้เศรษฐกิจหมุนโต มันไม่ได้ไม่คุ้มเสียแค่ตัวเลขที่รัฐบาลบอก แต่ยังมีค่าเสียโอกาส ถ้ารัฐบาลเอาเม็ดเงิน 5 แสนล้านบาทนี้ไปทำอย่างอื่นจะได้มากกว่านี้ ฉะนั้นการกู้มาแจกเพียงแค่ 6 เดือน เหมือนโยนหินลงน้ำ 1 ก้อน เกิดแรงกระเพื่อมแค่จ่อมเดียวแล้วหายไป แต่ที่เกิดขึ้นคือพายุหมุน เอาหนี้ก้อนโตมาให้คนไทยชดใช้ไปอีกนานเท่านาน  เข้าทำนองประเทศเสียหายไม่ว่า ขอให้ข้าได้หาเสียง" นายจุรินทร์กล่าว

ต่อมาเวลา 11.08 น. นายพิชัย ชุณหวชิร รมว.การคลัง ลุกขึ้นชี้แจงประเด็นที่มองการแจกเงินในครั้งนี้จะเป็นการสร้างหนี้ว่า หากมีการใช้งบประมาณโดยที่มีการเก็บรายได้ไม่เพียงพอ ก็ต้องมีการกู้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะใช้จากตัวงบประมาณเอง หรือ ม.28 ก็ตาม นี่ก็คือภาระหนี้ในวันนี้ และหนี้ที่ต้องกู้ในอนาคต แต่สิ่งที่เรามองเห็นคือความจำเป็นในการที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจของเรามีลักษณะที่หดตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

"เราก็ทราบปัญหากันลึกๆ ว่าปัญหานี้หรือที่บางคนเรียกว่าเป็น 10 ปีที่สูญเปล่า แล้วเราไม่ได้ทำอะไร แต่วันนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว วิกฤตเกิดขึ้นแล้ว เป็นวิกฤตที่ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่เป็นวิกฤตที่เรามองเห็นอยู่ข้างหน้าว่าหากเราไม่ทำอะไรที่จะเป็นการกระตุ้น ไม่ช้าก็เร็ววิกฤตจะมาแน่นอน วันนี้มีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง นี่จึงเป็นรายจ่ายพิเศษเพื่อกระตุ้น และแม้หลายคนจะบอกว่าสิ่งนี้จะไปสู่นายทุนใหญ่ แต่สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น สุดท้ายก็วนกลับมาสู่รายย่อยแน่นอน" นายพิชัยกล่าว

เงินหมื่นถึงมือ ปชช.ปลายปี

รมว.การคลังกล่าวว่า ในเรื่องที่สมาชิกบอกทำไมไม่แก้ที่โครงสร้างนั้น ขอถามว่า เราต้องรู้ก่อนว่าทำให้ใคร และใช้กระบวนการแก้ไขปัญหาเพื่อเรื่องอะไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่ระหว่างการพิจารณา และระหว่างการเซ็นสัญญาบีโอไอที่จะเป็นตัวบอกว่าปัญหาโครงสร้างที่ควรแก้คืออะไร และจะออกผลควบคู่ไปกับกระบวนการผลิตและการลงทุน เพื่อให้เกิดขีดความสามารถในการแข่งขัน

"ที่บอกมีความล่าช้า คิดไปทำไป ทำไมไม่คิดให้จบทีเดียวนั้น ผมขอปฏิเสธว่าไม่ใช่คิดไปทำไป เราคิดตั้งแต่วันแรกแล้วว่าเป็นนโยบายที่ต้องทำ  เราคิดตลอดเสมอว่าจะต้องปรับปรุง เพื่อหาว่ามีทางไหนบ้างที่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และเป็นการจัดสรรงบประมาณในจังหวะเวลาที่เราเลือกแล้ว เพื่อนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่มี ถ้าเราเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องปรับปรุง เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต ก็เป็นทางเลือกแรกที่ต้องใช้ก่อน แต่ถ้าเรื่องการหาเม็ดเงินเพื่อปรับปรุงมาทำโครงการที่จำเป็นเช่นเดียวกัน ในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เราก็ให้ความสำคัญเป็นอันดับที่สอง ยืนยันว่าเป็นการจัดสรรเม็ดเงินอย่างมีประสิทธิภาพ" รมว.การคลังระบุ

จากนั้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัตน์ รมช.การคลัง ชี้แจงว่า เรื่องที่มีการระบุว่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเรื่องแหล่งงบประมาณมาตรา 28 ออก ซึ่งกลไกที่เปลี่ยนเป็นข้อเสนอของส่วนงานที่เกี่ยวข้องหลังจากที่ไปดูในรายละเอียดว่าสามารถบริหารจัดการได้ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่ จึงเป็นกลไกที่คณะอนุกรรมการกำกับและตนเป็นประธาน ได้ดำเนินการนำข้อเสนอนี้มายังคณะกรรมการนโยบายเพื่อพิจารณาและมีมติเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแหล่งเงินเพื่อให้มีความเหมาะสมขึ้น

"เรื่องข้อห่วงใยในเรื่องของการเปลี่ยน กรอบเวลา และรายละเอียดโครงการ ยอมรับว่ามีการเปลี่ยนแปลงจริง แต่อย่างไรก็ตาม ยืนยันในกรอบเวลาว่าปลายปีนี้เงินถึงมือพี่น้องประชาชนแน่นอน ก็ยังยืนยันในกรอบเวลานี้ ถึงแม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเรื่องรายละเอียดบ้าง แต่เราต้องการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ และนี่ไม่ใช่นโยบายในการสงเคราะห์พี่น้องประชาชน" รมช.การคลังระบุ

นายจุลพันธ์ยังลุกขึ้นชี้แจงอีกครั้งกรณีรายการห้ามซื้อว่า ขณะนี้ยังคงปรับเพิ่มปรับลดได้ ซึ่งข้อห่วงใยร้านใหญ่ร้านเล็ก เราพยายามสูงที่สุดในการพยายามกำหนดพื้นที่ตั้งแต่ระดับอำเภอ กำหนดขนาดร้านค้า เพื่อให้เงินตกอยู่กับรายย่อยมากที่สุด ยืนยันว่าจะสามารถดึงร้านค้าเข้าร่วมโครงการไม่ต่ำกว่า 2-3 ล้านร้านค้า เช่น ร้านค้าที่อยู่ในกลุ่มของกรมพัฒนาธุรกิจรานค้า ร้านธงฟ้า ร้านในกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ร้านโชห่วย หาบเร่แผงลอย ตลาดนัด ซึ่งให้กรมปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการ

"ประเด็นเรื่องร้านค้าส่ง ค้าปลีก ร้านสะดวกซื้อ จะมีเพียง 5 หมื่นร้านที่น่าจะเข้าร่วม ส่วนมากเป็นร้านขนาดเล็กของประชาชน ร้านสหกรณ์" นายจุลพันธ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงบ่าย สส.ฝ่ายค้านและ สส.ฝ่ายรัฐบาลสลับกันอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 โดย สส.พรรคก้าวไกล พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายในทางเดียวกัน คัดค้านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ไม่เชื่อว่าจะทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะโครงการขาดความชัดเจน ไม่มีแหล่งงบประมาณที่ชัดเจน นอกจากการกู้เงินมาแจก รวมถึงแสดงความเป็นห่วงการนำงบกลางมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะส่งผลกระทบกับงบประมาณการแก้ปัญหาในกรณีอื่นๆ หากเกิดกรณีฉุกเฉินเช่นภัยพิบัติ น้ำท่วม

 เวลา 16.00 น. นายจุลพันธ์ชี้แจงว่า ข้อห่วงใยเรื่องรัฐบาลจะนำงบกลางนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียวนั้น จะพิสูจน์ได้จากเหตุการณ์อ่างเก็บน้ำห้วยเชียงคำ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม แตกทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่ เรื่องนี้นายกฯ สั่งการรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องลงไปแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วนแล้ว

"รัฐบาลนี้ไม่ได้ละเลยช่วยเหลือ เรื่องนี้จะเป็นการพิสูจน์ว่างบกลางที่นายกฯ และ ครม.มีอยู่จะบริหารจัดการช่วยเหลือประชาชนอย่างไร จะได้เห็นกัน เชื่อว่านายกฯ เตรียมความพร้อมแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว" รมช.การคลังระบุ

ฉลุยสภาผ่านงบเพิ่มเติม

ช่วงค่้ำ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคก้าวไกล อภิปรายสรุปว่า โครงการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตนั้นได้ไม่คุ้มเสีย และเต็มไปด้วยคำถาม หากรัฐบาลดึงดันเดินหน้า อาจไม่มีเงินทำนโยบายที่พรรคเพื่อไทยสัญญาไว้กับประชาชนที่ช่วยเหลือประชาชนได้ตรงจุดกว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 3 ปีข้างหน้า เป็นเครื่องพิสูจน์ว่ารัฐบาลจะรักษาสัญญาได้หรือไม่

"สิ่งที่พบคือเมื่อรัฐบาลหาเงินทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตตามเอกสารที่ส่งให้ กกต. ได้ตัดงบอื่นๆ  เพื่อรักษาหน้าของตัวเอง ซึ่งผลนั้นต้องแลกกับความลำบากของประชาชน ดังนั้นขอให้รัฐบาลใช้อิสรภาพในการโหวต ไม่ใช่โหวตบนผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งพรรคก้าวไกลพร้อมจะตรวจสอบต่อไป และจะลงมติไม่เห็นชอบ"

กระทั่งเวลา 19.40 น. นายปดิพัทธ์ สันติภาดา  รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานการประชุม กดออดเรียกสมาชิกเพื่อแสดงตนเป็นองค์ประชุม และลงมติ ผลปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นชอบรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ด้วยคะแนน 297 ต่อ 164 งดออกเสียงและไม่ออกเสียง ไม่มี

จากนั้นมีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญฯ ขึ้นมาศึกษาจำนวน 32 คน โดยมีสัดส่วน ประกอบไปด้วย สัดส่วนคณะรัฐมนตรี จำนวน 8 คน สส.จำนวน 24 คน ตามสัดส่วนพรรคการเมือง ดังนี้ พรรคเพื่อไทย 7 คน, พรรคก้าวไกล 7 คน,   พรรคภูมิใจไทย 3 คน, พรรคพลังประชารัฐ 2 คน,   พรรครวมไทยสร้างชาติ 2 คน, พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน, พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน และพรรคประชาชาติ 1 คน กำหนดระยะเวลาแปรญัตติ  2 วัน

สำหรับระยะเวลาพิจารณาพิจารณาของ กมธ.วิสามัญฯ จำนวน 5 วัน และนำมาเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาวาระ 2-3 ในวันที่ 31  ก.ค.นี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'พริษฐ์' อภิปรายปิด ซัดเพื่อไทยทำนโยบายไม่ตรงหาเสียง

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายสรุปว่า โครงการเติมเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ตนั้นได้ไม่คุ้มเสีย และเต็มไปด้วยคำถาม อาทิ การกำหนดเงื่อนไขที่กีดกันผู้ค้ารายย่อย ไม่นำไปสู่การลงทุนระยะยาวที่มีตัวคูณเศรษฐกิจที่สูงกว่า

สภาฯ ตั้งกมธ.วิสามัญงบเพิ่มเติมปี 67 ใช้ทำดิจิทัลวอลเล็ต ให้เวลาศึกษา 5 วัน

หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎร โหวตรับการร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ.... วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอเพื่อใช้ในโครงการเติมเงินหมื่นบา

'วรวัจน์' หนุนของบแสนล้านทำดิจิทัลวอลเล็ต ชี้ไม่เหมือนรัฐสวัสดิการจ่ายเท่าไหร่ก็ไม่พอ

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้หมุนเวียนสามารถสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่เหมือนกับแนวคิดรัฐสวัสดิการที่เข้ามาเป็นรัฐบาลแล้วต้องหาเงินมาแจก