ยื่นปปช.ฟัน‘เกศ’บี้ไขก๊อก

“อนุทิน” ชม สว.ชุดใหม่ ดี! เชื่อทำงานประสานรัฐบาล-สส.ได้ ขอเชียร์ประธานวุฒิฯ  ไว้ในใจ “เปรมศักดิ์” เผยตำแหน่ง ปธ.-รอง ปธ.วุฒิสภายังไม่นิ่ง ย้ำควรเลือกคนมีประสบการณ์  เตือนอย่าพวกมากลากไปเหมือนสภาฝักถั่วในอดีต "วันนอร์" ยันสภาไม่เคยรับรองวุฒิการศึกษาให้ใคร ลั่นไม่ยอมให้มีซื้อขายตำแหน่ง-บัตรสภา ย้ำปิดช่องโหว่แต่ต้องสมดุล ขณะที่  อว.ขอหลักฐานเพิ่ม 11 รายการ ซื้อขายปริญญา จ่อออกกฎกระทรวงคุมเข้ม "สนธิญา" ร้อง ป.ป.ช.สอบจริยธรรม "เกศกมล" นำวุฒิปลอมไปใส่ในใบแนะนำตัวผู้สมัคร สว. จี้ให้ลาออก

เมื่อวันอังคาร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีโฉมหน้าของวุฒิสภา หรือ สว.ชุดใหม่ มีความรู้สึกอย่างไรบ้างว่า “ดี” ส่วนจะให้วิจารณ์ คงเป็นไปไม่ได้ อยู่สูงกว่าตน เพราะวุฒิสภาเขาเรียกว่าสภาสูง ของพวกตนเป็น สส.

เมื่อถามว่า ขณะนี้ได้เชียร์ใครเป็นประธานวุฒิสภาหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ตอนนี้เชียร์ไม่ได้แล้ว เชียร์ก็เชียร์ในใจ เพราะตอนนี้ กกต.รับรองไปหมดแล้ว เราชี้นำไม่ได้

เมื่อถามว่า จะฝากการทำงานของ สว.ชุดใหม่อย่างไรบ้างหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ทำงานด้วยกันน่าจะโอเคอยู่แล้ว ทั้งการทำงานร่วมกับรัฐบาลและการทำงานในสภาผู้แทนราษฎรที่ประกอบเป็นรัฐสภาสมบูรณ์แบบ

นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ให้สัมภาษณ์ถึงความเคลื่อนไหวในการเลือกประธานและรองประธานวุฒิสภาว่า ขณะนี้ยังไม่นิ่ง แต่มีการเคลื่อนไหวเฉพาะในกลุ่มของตัวเองแบบเงียบๆ ไม่ได้ออกมาในลักษณะคึกคัก มองว่าการเลือกประธานวุฒิสภาไม่ใช่ว่าจะเลือกใครก็ได้ตามที่มีการสั่งมา ควรเลือกคนที่มีความสามารถ ที่สำคัญต้องประสานงานกับ สส.ได้ เพราะประธานวุฒิสภาต้องทำหน้าที่รองประธานรัฐสภา นั่งเป็นประธานการประชุมร่วมรัฐสภากับสส.บ่อยครั้ง ควรพิจารณาเลือกคนที่มีประสบการณ์งานสภามาประกอบด้วย หากได้คนที่ไม่มีประสบการณ์งานสภาอาจไม่สามารถดำเนินการประชุมรัฐสภาให้เรียบร้อยได้

"การที่ผมพูดเช่นนี้ไม่ใช่ต้องการตีกันคนที่มีชื่อเป็นแคนดิเดตประธานวุฒิสภาตามที่เป็นข่าว แต่การเป็นประธานวุฒิสภาไม่ง่ายเหมือนการประชุมในกรมกองหรือกองทัพที่จะสั่งใครก็ได้  เพราะจะต้องประสานกับ สส. จำเป็นต้องมีทักษะการประชุมเป็นที่ยอมรับ อย่าเอาพวกมากลากไป เป็นสภาฝักถั่วเหมือนในอดีต ต้องทำให้สภาสูงมีศักดิ์ศรีเป็นที่ยอมรับ จึงไม่ควรปิดกั้นเฉพาะคนที่เป็นข่าวเพียงไม่กี่คน" นพ.เปรมศักดิ์กล่าว

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์กรณีดรามาเรื่องวุฒิปริญญาเอกจาก California University ของ ดร.พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว.ชุดใหม่ ว่าได้พูดไปหมดแล้ว เมื่อถามว่าได้ติดต่อพูดคุยกับ ดร.สุขุมพงศ์ ชาญนุวงศ์ อุปนายกสมาคมนิติธรรมหรรษา (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาทำวิทยานิพนธ์คนเดียวกันกับหมอเกศหรือไม่  ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า ไม่ใช่หน้าที่ของตน บอกไปแล้วว่าครูบาอาจารย์ผู้เป็นเจ้าของโครงการต้องรับผิดชอบผู้เป็นลูกศิษย์ของตัวเองเท่านั้นเอง ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาคนเดียวกัน

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องของหมอเกศจะกระทบมาถึงตัว ร.อ.ธรรมนัสด้วยหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัสกล่าวว่า ไม่เห็นจะเกี่ยวตรงไหนเลย เพราะการสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรปี 2566 ตนใช้วุฒิปริญญาตรีในการสมัคร

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงปัญหาเรื่องของวุฒิการศึกษาที่มีการอ้างว่ารัฐสภาให้การรับรองสถาบันการศึกษา California University ว่า เรื่องวุฒิการศึกษาไม่ใช่หน้าที่ของสภาที่จะไปรับรองใคร เพราะเป็นเรื่องของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ส่วนเมื่อไปสมัครในส่วนต่างๆ ก็เป็นเรื่องของหน่วยงานนั้นในการตรวจสอบ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่ทางสภาไม่มีหน้าที่การรับรอง ดังนั้นที่มีการแอบอ้าง ตนได้ให้เลขาธิการสภาฯ ชี้แจงแล้วว่าที่แอบอ้างนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และไม่ได้เกิดขึ้นในสมัยนี้ แต่ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับอดีตประธานสภาฯ ด้วย ซึ่งได้สอบถามแล้วทราบว่าไม่ได้รับรองเช่นกัน ประเด็นนี้ที่จะต้องมีความชัดเจน ว่าได้รับรองจากใคร

สำหรับกรณีมีข่าวผู้ที่รับตำแหน่งที่ปรึกษาเลขาฯ กรรมาธิการใช้ใบปริญญาปลอม ประธานสภาฯ กล่าวว่า ตำแหน่งผู้ชำนาญการหรือที่ปรึกษากรรมาธิการส่วนใหญ่ไม่ได้จำกัดในเรื่องของคุณวุฒิ แต่เอาเรื่องของประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ ที่ประธาน กมธ.เสนอตามสัดส่วน  ไม่ได้ขอมาแล้วได้ทุกคน เพราะมีจำนวนจำกัด สำหรับคนที่มีค่าตอบแทนเพียง 4-5 คนเท่านั้น และหากจะตั้งเพิ่ม ให้มาช่วยโดยไม่มีเงินเดือน  ประธานกรรมการก็ลงนามแต่งตั้งเอง

ส่วนกรณีที่มีข่าวการซื้อขายตำแหน่งในกรรมาธิการ และมีการซื้อขายบัตรจอดรถ  ประธานสภาฯ กล่าวว่า เรื่องการซื้อขายตำแหน่ง รัฐสภาไม่สนับสนุน และไม่อาจจะกระทำได้ รวมถึงบัตรเข้า-ออกสภา หากพบว่ามีข้าราชการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะมีการลงโทษถึงขั้นรุนแรง ซึ่งเคยมีการไล่ออกไปอย่างน้อย 2 คนแล้ว และลดเงินเดือนพิจารณาโทษไป 3-4 คน ดังนั้นในส่วนของสภาพยายามที่จะเข้มงวด แต่เนื่องจากรัฐสภาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เช่น รัฐบาล กรรมาธิการในส่วนของ สส.บ้าง ซึ่งต้องมีคนที่ขออำนวยความสะดวกในการเข้า-ออกสภา เพื่อเข้าประชุมและร่วมทำกิจกรรมกับสภา จึงต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างจำกัดจำนวน หากมีความผิดพลาดก็ต้องตรวจสอบไป ยืนยันเราจะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เพราะเกิดความเสียหาย

"เราพยายามลดช่องว่างช่องโหว่และกวดขันมากขึ้น จำกัดจำนวนจำกัดบัตรให้มากขึ้น แต่ก็ต้องให้ความสะดวกบ้าง หากเข้มงวดจนไม่เกิดความสะดวก งานก็อาจจะเสียได้ ดังนั้นต้องให้เกิดความสมดุลให้ได้ ระหว่างความสะดวกกับความถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับ" ประธานสภาฯ กล่าว

ด้าน น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนได้สั่งการให้ปลัดกระทรวง อว.ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีการซื้อขายวุฒิปริญญาของมหาวิทยาลัยเอกชน โดยมี ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. เป็นประธาน และมีคณะกรรมการ 9 คน ล่าสุด ได้รับรายงานจาก ศ.ดร.ศุภชัยว่า  คณะกรรมการฯ ได้จัดประชุมเป็นครั้งแรกเพื่อกำหนดแนวทางและแผนการดำเนินการ และมีมติให้ขอเอกสารพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องจากมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น 11 รายการ กำหนดระยะเวลาให้มหาวิทยาลัยจัดส่งให้คณะกรรมการภายใน 15 วัน และเห็นชอบเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้าให้ถ้อยคำ ซึ่งหากข้อมูลเชื่อมโยงมากกว่า 9 ราย ก็ต้องเรียกสอบเพิ่ม เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คาดว่าจะสรุปข้อเท็จจริงให้ได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้รมว.อว.กล่าวว่า ยืนยันว่าการสืบสวนจะดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้เกิดความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ที่สำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้อีก กระทรวง อว.จะใช้มาตรการอย่างเข้มข้นจากประกาศกฎกระทรวง “กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาการเปิดเผยและการส่งข้อมูลการอุดมศึกษา พ.ศ.2566” โดยในหมวด 3 ได้ระบุให้มหาวิทยาลัยจัดส่งข้อมูลของผู้เรียน เช่น รายชื่อนักศึกษา เลขบัตรประจำตัวประชาชน รวมถึงข้อมูลผู้สำเร็จการศึกษาหรือผู้ได้รับปริญญาบัตรมาให้กระทรวง อว. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะทำให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ที่มีชื่อสำเร็จการศึกษาได้ปริญญาบัตรมาอย่างถูกต้องหรือไม่ เช่น เพิ่งมีชื่อสมัครเข้าเรียนปีนี้ แต่ปีหน้าได้รับปริญญาเลย  แบบนี้ถือว่าผิดปกติแน่นอน

ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายสนธิญา สวัสดี อดีตผู้สมัคร สว. ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบการทำผิดจริยธรรมร้ายแรง ของ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย  สว.คะแนนอันดับ 1 ที่มีปัญหาเรื่องวุฒิการศึกษาว่า อาจเป็นวุฒิที่จ่ายเงินซื้อมา และไม่ได้มีการรับรองในไทย ก่อนหน้านี้เพิ่งทราบว่า พญ.เกศกมลเคยอยู่ในคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนของรัฐสภาชุดที่แล้ว ซึ่งชุดเดียวกันกับที่ตัวเองเคยอยู่ แต่ที่ผ่านมาขณะทำงานตัวเองไม่เคยได้ยินชื่อของ พญ.เกศกมลมาก่อน ส่วนเรื่องวุฒิการศึกษาที่ได้มาจาก California University FCE ซึ่งเป็นบริษัทที่รับเทียบโอนคุณวุฒิ ไม่ได้มีการรับรองตำแหน่งทางวิชาการตามกฎหมายไทย จึงมายื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบในส่วนของจริยธรรมร้ายแรง เพราะการที่นำวุฒิดังกล่าวไปยื่นใส่ใบข้อมูลคุณสมบัติ สว.2 หรือ สว.3 กับ กกต. เพื่อใช้ในการเลือกตั้ง สว. ถือว่าผิด พ.ร.ป.มาตรา 77(4) จูงใจให้บุคคลเข้าใจผิดในคุณสมบัติ

"ขณะนี้ตัวเองกำลังศึกษาต่ออยู่ในระดับปริญญาโทในประเทศไทย ซึ่งได้สอบถามทาง กกต.ว่าสามารถลงคุณสมบัติส่วนนี้ได้หรือไม่ ได้รับการตอบกลับว่าไม่สามารถทำได้ ฉะนั้นต้องย้อนกลับมาดูว่าการที่ พญ.เกศกมลนำวุฒิการศึกษาไปลงในลักษณะนี้ เจตนาเป็นอย่างไร และได้ประโยชน์หรือไม่ และทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ ที่ผ่านมาตัวเองได้ข้อมูลว่ามีผู้สมัครจากจังหวัดขอนแก่นท่านหนึ่ง บอกกับตัวเองว่าลงคะแนนเลือก พญ.เกศกมล เพราะเห็นว่ามีคุณสมบัติทางการศึกษาเหมาะที่จะเป็น สว. ถ้าวุฒิการศึกษาที่จบมาจากต่างประเทศใช้ในทางส่วนตัวสามารถทำได้ แต่เมื่อไหร่ที่นำไปใช้ประโยชน์ในทางราชการถือว่าขัดต่อกฎหมาย"

นายสนธิญากล่าวด้วยว่า นอกจากจะให้ตรวจสอบจริยธรรมร้ายแรง จะนำหลักฐานที่มีส่งให้ทาง ป.ป.ช.ไต่สวนพิจารณาวินิจฉัยและส่งศาลฎีกา วันนี้หาก พญ.เกศกมลลาออกจากการเป็น สว. สถานการณ์ต่างๆ น่าจะคลี่คลายไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง