ภูมิธรรมไม่สน ดันทุรังประมูล สต๊อกข้าว10ปี

"เศรษฐา" เรียก รมต.สุมหัวอุ้มดิจิทัลฯ ลุ้นบอร์ด ธ.ก.ส.เคาะ 24  ก.ค. ขณะที่ "จักรพงษ์" รับบทหนังหน้าไฟ เปิดทางลุยถลุงงบฉุกเฉิน "ภูมิธรรม" ขีดเส้นขายข้าว 10 ปีให้จบ ส่อวุ่นผู้เสนอราคาติดคดีพัวพัน อคส.

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. เวลา 11.11 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรียกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยเข้าหารือ ที่ห้องสีเขียว  ตึกไทยคู่ฟ้า อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์, นายพิชัย​ ชุณหวชิร​ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง, นายสุทิน คลังแสง​ รมว.กลาโหม, นายสมศักดิ์​ เทพสุทิน​ รมว.สาธารณสุข, นายจักรพงษ์​ แสงมณี​ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี​ 

ขณะที่ นายจุลพันธ์​ อมรวิวัฒน์​ รมช.การคลัง​ เปิดเผยว่า ไม่ได้เดินทางเข้ามาร่วมการประชุมในครั้งนี้ เนื่องจากติดการประชุมติดตามโครงการดิจิทัลวอล​เล็ต​ ทั้งนี้ นายกฯ ได้เรียกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยติดตามงานตามปกติ​ ส่วนความชัดเจนเรื่องการใช้งบจาก ธ.ก.ส.​หรือไม่​   ขึ้นอยู่กับกรรมการชุดใหญ่เป็นคนเคาะ ซึ่งวันที่​ 24 ก.ค.นี้น่าจะได้ความชัดเจน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจักรพงษ์ แสงมณี รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงบประมาณ กล่าวชี้แจงถึงกรณีการนำงบกลางรายการสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่มีอยู่ทั้งสิ้น 996,000 ล้านบาท มาจัดสรรเพื่อทำโครงการแจกเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 4.3 หมื่นล้านบาท หรือ 40% ของวงเงินงบกลางรายการสำรองจ่ายฉุกเฉินที่มีทั้งสิ้น 9.9 หมื่นล้านบาทว่า ได้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เพราะยังเหลือวงเงินอีก 1.5 หมื่นล้านบาทไว้รองรับกรณีเกิดภัยพิบัติฉุกเฉินในช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2567 ซึ่งถ้าเราดูจากประวัติต่างๆ จะอยู่ที่ระดับหลักพันล้านบาท

 “ขณะเดียวกัน เนื่องจากการเริ่มใช้งบประมาณปี 2567 ล่าช้ามา 4-5 เดือน จึงให้กระทรวงต่างๆ ที่เตรียมของบกลางกลับไปใช้งบภายในกระทรวงตัวเอง และการนำงบกลางมาใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น สำนักงบประมาณได้หารือกับเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วว่าสามารถทำได้” นายจักรพงษ์ระบุ

นายภูมิธรรมเปิดเผยถึงความคืบหน้าการเปิดประมูลข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลเป็นการทั่วไป ครั้งที่ 1/2567 ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ว่าเบื้องต้นได้รับรายงานว่าคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เสนอซื้อข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล หรือข้าว 10 ปี ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เสนอซื้อข้าวทั้ง 6 รายเสร็จสิ้นแล้ว และพบว่ามี 3 รายที่ไม่ผ่านคุณสมบัติ ซึ่งในฐานะที่กำกับดูแล อคส. ได้สั่งการให้ อคส.ดำเนินการพิจารณาผู้เสนอซื้อที่มีคุณสมบัติถูกต้อง ครบถ้วน และต่อรองราคากับผู้ซื้อที่เสนอราคาสูงสุดในลำดับถัดไปในแต่ละคลังเพื่อให้ได้ข้อยุติต่อไป

 “เมื่อรายที่ให้ราคาสูงสุดในแต่ละคลังมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ก็ต้องให้โอกาสรายที่ 2  รายที่ 3 ที่เสนอราคาสูงสุดในแต่ละคลัง ได้มีโอกาสเข้ามาเจรจาต่อรอง โดยให้ยึดราคาที่ผู้เสนอราคาสูงสุดเคยให้ไว้ แต่จะได้หรือไม่ได้ ก็อยู่ที่การต่อรองของ อคส. เพราะอยากให้การเปิดประมูลข้าวรอบนี้จบลงได้ตามที่ตั้งใจไว้ เพราะถือว่าขายได้ราคาดีมาก แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องล้มและเปิดประมูลใหม่” นายภูมิธรรมกล่าว

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกชน 3 รายที่ถูกตัดสิทธิ์ ได้แก่ บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด, บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด และบริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์.การเกษตร จำกัด เนื่องจากผลการตรวจสอบเชิงลึกพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องคดีค้างเก่ากับนิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ทำความเสียหายให้แก่  อคส. และถูก อคส.ฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายตามสัญญารับฝากเก็บรักษามันเส้น ข้าวสาร และสัญญาจ้างตรวจสอบ และรับผิดชอบคุณภาพข้าว ซึ่งเป็นคดีค้างเก่าและยังอยู่ในการพิจารณาของศาลปกครอง แม้ว่าทั้ง 3 รายจะไม่ใช่เป็นคู่กรณีโดยตรง แต่ก็มีความเชื่อมโยงทางอ้อมและเกี่ยวพันกัน

สำหรับ 6 บริษัทที่ยื่นซองเสนอราคาซื้อข้าวในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.บริษัท วีเอท อินเตอร์เทรดดิ้ง จำกัด 2.บริษัท ธนสรร ไรซ์ จำกัด 3.บริษัท เอส.เอส.เอ็ม.อาร์.การเกษตร จำกัด 4.บริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ จำกัด 5.บริษัท สหธัญ จำกัด และ 6.บริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 จำกัด

 ทั้งนี้ หลังจาก 3 รายถูกตัดสิทธิ์ ก็จะเหลือ 3 รายที่จะได้รับการเรียกมาเจรจาต่อรองราคา แยกเป็น คลังกิตติชัย หลัง 2 (ข้าวหอมมะลิ 100%) ปริมาณ 11,656 ตัน, อันดับ 2 คือบริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 เสนอราคา 16 บาท/กก. และอันดับ 3 คือบริษัท ทรัพย์แสงทองไรซ์ เสนอราคา 15.617.35 บาท/กก. และคลังบริษัท พูนผลเทรดดิ้ง จำกัด ปริมาณ 3,356 ตัน, อันดับ 2 คือบริษัท สหธัญ เสนอราคา 18.690 บาท/กก., อันดับ 3 คือบริษัท บี เอ็น เค การเกษตร 2024 เสนอราคา 16 บาท/กก.