เสียงแตกปล่อยผีสว. กกต.5:2รับรอง200ฟัน1 ดึงตร.-DSI-ปปง.สอบฮั้ว

กกต.ปล่อยผี! ประกาศรับรอง สว.ใหม่ 200 คน สอยร่วง 1 คน สำรอง 99 คน จากกลุ่มสื่อมวลชน เป็นที่ปรึกษานายก อบจ.อ่างทอง "แสวง" ยันหากพบความผิดอีกตามสอยเพิ่มได้ พร้อมดึง "ตร.-ดีเอสไอ-ปปง." ร่วมสอบฮั้ว เล็งเปิดรับหนังสือรับรอง 11-12 ก.ค. "วุฒิสภา” จัดสถานที่รายงานตัว 11-12 ก.ค.และ 15 ก.ค.นี้ "สันธนะ" เตรียมร้อง ป.ป.ช.ฟัน กกต.ผิด ม.157  ชี้ความผิดสำเร็จเเล้ว

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วันที่ 10 ก.ค. เวลา 09.00 น. นายอิทธิพร  บุญประคอง ประธาน กกต. ประชุม กกต.เพื่อพิจารณาข้อกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ได้รับเลือกที่ต้องหารือกัน  รวมทั้งประเด็นสำคัญเรื่องการพิจารณารับรองสมาชิกวุฒิสภา (สว.) อย่างไรก็ตาม ช่วงเช้าการพิจารณายังไม่แล้วเสร็จ ทำให้ต้องมีการพิจารณาต่อในเวลา 13.00 น.

กระทั่งเวลา 15.40 น. นายแสวง บุญมี  เลขาธิการ กกต. แถลงผลการประชุม กกต.ว่า  ตามมาตรา 40 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.   พ.ศ.2561 ด้วยเงื่อนไขตามกฎหมายมาตรา 42  ระบุว่า หาก กกต.เห็นว่าการเลือกเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย กกต.จึงจะประกาศรับรองผล  ซึ่งจะดู 3 เงื่อนไขในการพิจารณาว่ามีการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.หรือไม่

นายแสวงกล่าวว่า สำนักงาน กกต.ได้รวบรวมกลุ่มความผิดที่อาจจะนำมาพิจารณาเพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการประกาศผลการเลือก สว.ครั้งนี้ คือ 1.คุณสมบัติลักษณะต้องห้าม หมายรวมถึงการสมัครลงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งด้วย 2.กระบวนการในการดำเนินการเลือกในวันที่ 9 วันที่ 16 และวันที่ 26 มิ.ย. และ 3.ความไม่สุจริตและเที่ยงธรรม   อันเกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งสังคมจะใช้กันว่าการจัดตั้ง บล็อกโหวต หรือฮั้ว

ทั้งนี้ กรณีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามนััน มีผู้สมัครที่สนใจมาสมัครช่วงเปิดรับสมัคร 5 วัน 48,117 คน ผอ.ระดับอำเภอได้ตรวจสอบคุณสมบัติ และไม่รับสมัครไป 1,917 คน เมื่อรับสมัครไปแล้วก็ได้ลบชื่อก่อนการเลือกระดับอำเภออีก 526 คน ก่อนผ่านชั้นจังหวัดก็ได้ลบผู้มีสิทธิเลือกไปอีก 87 คน และผ่านมาระดับประเทศ ผอ.ระดับประเทศก็ลดไปอีก 5 คน รวมแล้วมีการตรวจสอบและคัดคนที่ไม่มีคุณสมบัติในลักษณะต้องห้ามออกไป 2,000 เกือบ 3,000 คน กกต.มีมติให้ใบส้มเรื่องคุณสมบัติตามมาตรา 20 วรรค 3 วรรค 4 ระงับสิทธิสมัครชั่วคราว จำนวน 89 ใบ รวมทั้งส่งให้ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งด้วยอีก 1 คน ตามมาตรา 60 เนื่องจากเขาได้เข้าสู่กระบวนการเลือกแล้ว จึงเป็นผู้มีส่วนทำให้การเลือกเป็นไปด้วยความไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ส่วนระดับอำเภอที่ลบไปกว่า 500 คน ไม่ได้ให้ใบส้ม เพราะยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการเลือกระดับอำเภอ แต่จะไปพิจารณาว่ารู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิแต่ยังไปสมัครรับเลือก ซึ่งถือเป็นคดีอาญา

ในส่วนเรื่องร้องเรียนข้างต้นคิดเป็น 65% หรือราวๆ กว่า 600 เรื่อง จากเรื่องร้องเรียนทั้งหมด ที่เข้ามาจนถึงขณะนี้ประมาณกว่า 800 เรื่อง โดยเป็นทั้งความปรากฏ ผู้สมัครมาร้องเอง และที่ กกต.การลบชื่อออก ดังนั้นเหลืออยู่ราวๆ   200 เรื่องที่ต้องพิจารณา ส่วนการสมัครไม่ตรงกลุ่ม ที่ถูกวิจารณ์ว่าคนแบบนี้ไปอยู่กลุ่มนั้นกลุ่มนี้ได้อย่างไร สังคมอาจจะเข้าใจยังไม่ตรงมาก เพราะเวลาพูดถึงกลุ่มอาชีพ ซึ่งตามมาตรา 107  ของรัฐธรรมนูญ และคำว่ากลุ่มตามมาตรา 11  ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ไม่มีกลุ่มอาชีพ แต่เป็นกลุ่มของด้านทั้ง 20 ด้าน ในแต่ละด้านจะมีอาชีพเป็นส่วนหนึ่งของคนประเภทหนึ่ง มีคน 6 ประเภท ที่สามารถเป็นผู้สมัครได้ ไม่ใช่แค่อาชีพอย่างเดียว 1.คือความรู้ในด้านนั้น 2.ความเชี่ยวชาญในด้านนั้น 3.อาชีพในด้านนั้น 4.ประสบการณ์ด้านนั้น 5.ลักษณะและประโยชน์ร่วมกัน และ 6.ทำงานหรือเคยทำงานร่วมกัน ซึ่งกฎหมายเปิดกว้างให้คนสมัครด้านใดด้านหนึ่งได้ และมีผู้รับรอง 1 คน

นายแสวงกล่าวว่า กรณีกลุ่มความผิดที่ 2 คือการดำเนินการในวันเลือก คือวันที่ 9 วันที่ 16 และวันที่ 26 มิ.ย. มีสำนวนมาร้อง 3 สำนวน กกต.พิจารณาเสร็จแล้ว และมีสำนวนที่ไปร้องศาลฎีกา 18 คดี ตามมาตรา 44 ศาลฎีกาได้ยกคำร้องทุกคดีแล้ว

นอกจากนี้ กรณีที่ 3 การเลือกไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ตอนนี้มีอยู่ 47 เรื่อง คือเรื่องที่สังคมเรียกว่าการจัดตั้ง การฮั้ว การบล็อกโหวต ซึ่งสำนักงาน กกต.ได้รวบรวมพยานหลักฐานได้มาพอสมควร ซึ่งลักษณะที่รวบรวมมาพบว่าเป็นขบวนการที่ต้องใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์มายืนยัน สำนักงาน กกต.จึงได้ขอความร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รวมแล้วส่งเจ้าหน้าที่ร่วมตรวจสอบ 23 นาย ซึ่งประสานงานกันตลอดประมาณ 1 สัปดาห์แล้ว โดยขอใช้เทคนิคอุปกรณ์มาตรวจสอบความเชื่อมโยงของผู้สมัคร หรือคนอยู่เบื้องหลัง จะได้ถึงไหนอย่างไร เพื่อนำเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาเรื่องการกระทำที่อาจจะทำให้การเลือกไม่สุจริต

เลขาฯ กกต.กล่าวว่า เมื่อดำเนินการมาถึงขั้นนี้ ทั้ง 3 กลุ่มความผิด กระบวนการเลือกตั้ง 3 ระดับจบหมดแล้ว ไม่มีคดีค้างที่ศาล ถือว่าการเลือกเป็นไปโดยชอบ ในส่วนของความไม่สุจริตและเที่ยงธรรม เมื่อมีคำร้อง สำนักงาน กกต.ได้รับเป็นสำนวนเอาไว้แล้ว ขณะนี้ได้รวบรวมพยานหลักฐานข้อมูลไว้แล้ว แต่ข้อมูล ณ วันนี้ยังไม่พอเพียงที่จะบอกว่าเขากระทำความผิด สำนักงานต้องไปรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม และให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจงตามที่กฎหมายกำหนด ในชั้นนี้จึงไม่สามารถบอกได้ว่าการเลือกเป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม

"ด้วยเหตุผลดังกล่าว กกต.จึงพิจารณาแล้วเห็นว่า การเลือก สว.เป็นไปด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม จึงมีมติประกาศผลการเลือก สว.ของแต่ละกลุ่ม ทั้ง 20 กลุ่ม ลำดับที่ 1 ถึง 10 ของแต่ละกลุ่ม เป็น สว. ส่วนลำดับที่ 11-15 ของแต่ละกลุ่ม เป็นบัญชีสำรอง ยกเว้นกลุ่มที่ 18 ซึ่ง กกต.ได้ระงับสิทธิชั่วคราว (ใบส้ม) ของผู้ได้รับเลือก 1 คน ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 1-10 จึงต้องเลื่อนสำรองลำดับที่ 11 ขึ้นมาแทน ทำให้เหลือสำรองกลุ่มนี้แค่ 4 คน ดังนั้น กกต.รับรองครบ 200 คน และบัญชีสำรอง 99 คนเรียบร้อยเพื่อให้เปิดสภาได้” เลขาฯ กกต.กล่าว

นายแสวงกล่าวว่า สว.ทั้ง 200 คนให้มารับหนังสือรับรองการรับเลือกเป็น สว. เพื่อเป็นหลักฐานในการรายงานตัวกับสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาตั้งแต่วันที่ 11-12 ก.ค. เวลา 08.30 น. ถึง 16.30 น. ซึ่งเตรียมสถานที่รองรับเรียบร้อยแล้วที่ขั้น 2 สำนักงาน กกต.

"การประกาศไปก่อนแล้วมาสอยทีหลัง เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 226 และ พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง สว.มาตรา 62 ส่วนที่ได้ให้ใบส้มไป 1 คน จนต้องเลื่อนสำรองมาแทน เพราะพบความผิดชัดเจนในเรื่องของคุณสมบัติ" นายแสวงกล่าว

ถามว่า การที่ กกต.ประกาศบัญชีสำรอง 99 คน จะขัดกับกฎหมายที่ให้ กกต.ต้องประกาศบัญชี สว. 200 คน และบัญชีสำรอง 100 คนหรือไม่ นายแสวงกล่าวว่า ก็ทำไปแล้ว ซึ่งตาม พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง สว.มาตรา 42 ไม่ได้เขียนกรณีดังกล่าวไว้ แต่ กกต.มาออกระเบียบ กกต.ว่าด้วยการเลือก สว. ฉบับที่ 3 ข้อ 154/1 ให้ กกต.สามารถเลื่อนบัญชีสำรองขึ้นมาแทนได้

ซักว่า ก่อนหน้านี้ศาลปกครองเคยเพิกถอนบางข้อของระเบียบดังกล่าว กังวลหรือไม่ว่าจะถูกเพิกถอนอีก นายแสวงกล่าวว่า ตอบไม่ได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงออกมาเช่นนี้ ก็ต้องดำเนินการและทำไปแล้ว หากเลื่อนจะเป็นปัญหามากกว่านี้ เพราะจะเปิดสภาไม่ได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวสะท้อนว่า กกต.ไม่ได้นิ่งนอนใจ

ถามต่อว่า ทำไมไม่รับรองไปก่อนแล้วค่อยมาสอยทีหลัง จะได้ไม่เกิดปัญหา นายแสวงกล่าวว่า มีคำพิพากษาของศาลฎีกาวินิจฉัยวางแนวเอาไว้แล้ว เมื่อเราพบถ้าไม่ทำก็ไม่รู้ว่าจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร วันนี้จะส่งประกาศราชกิจจานุเบกษา

มีรายงานว่า บุคคลที่ถูก กกต.ระงับสิทธิชั่วคราวหรือแจกใบส้มคือ น.ส.คอดียะฮ์ ทรงงาม ผู้ได้รับเลือกเป็น สว.อ่างทอง ลำดับที่ 4 กลุ่ม 18 กลุ่มสื่อสารมวลชน โดยระบุในประวัติการทำงานว่า “ประชาสัมพันธ์เสียงตามสายหมู่บ้าน เป็นประชาสัมพันธ์อำเภอไชโย” อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.คอดียะฮ์เป็นที่ปรึกษา นายก อบจ.อ่างทอง คือศาลฎีกาวางแนวเอาไว้ว่า การเป็นที่ปรึกษานายก อบจ. ถือเป็นผู้บริหารท้องถิ่น จึงถูกระงับสิทธิชั่วคราว ทำให้เลื่อน ว่าที่ พ.ต.กรพด รุ่งหิรัญวัฒน์ ผู้ได้รับเลือกเป็น สว.ลำดับที่ 11 ซึ่งอยู่ในบัญชีสำรองเลื่อนขึ้นมาอยู่ในบัญชีตัวจริงลำดับ 10 โดยว่าที่ พ.ต.กรพด อดีตประธานรุ่น 5 หลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์เครือข่ายความมั่นคงระดับผู้บริหาร (พคบ.) ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) มาแทน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับมติ กกต.ที่ให้มีการประกาศรับรอง สว.และบัญชีสำรอง สว.ในวันนี้ เป็นมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 โดย 2 เสียงข้างน้อยคือ นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ และนายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ ที่เห็นต่างในประเด็นข้อกฎหมายบางประเด็น และเห็นว่ายังไม่ควรประกาศรับรอง

สำหรับ กกต.มีทั้งหมด 7 คน ประกอบด้วย นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. นายสันทัด ศิริอนันต์ไพบูลย์, นายปกรณ์ มหรรณพ, นายชาย นครชัย, นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ, นายฐิติเชฏฐ์ นุชนาฏ และนายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ

ที่รัฐสภา สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาได้ประชุมหารือจัดเตรียมสถานที่รองรับ สว.ใหม่มารายงานตัวไว้ก่อนหน้านี้ โดยได้ข้อสรุปว่า จะเปิดให้ สว.ชุดใหม่มารายงานตัวตั้งแต่วันที่ 11-12 ก.ค. และวันที่ 15 ก.ค. ในวันเวลาราชการ เพื่อรับบัตรประจำตัวของการเป็น สว. รวมถึงเอกสารและคู่มือการปฏิบัติหน้าที่ สว. จากนั้นจะออกหนังสือนัดประชุมวุฒิสภานัดแรก เพื่อให้สมาชิกกล่าวคำปฏิญาณตนก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ ก่อนจะเข้าสู่วาระการเลือกประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าที่ กกต.จะแถลงข่าวรับรอง สว.ดังกล่าว นายสันธนะ ประยูรรัตน์ ผู้สมัคร สว. ให้สัมภาษณ์ว่า หาก กกต.รับรองผล สว.แล้ว จะไปยื่นร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อเอาผิด กกต.ทั้งคณะ ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ม.157 เพราะเห็นขั้นตอนการเลือกครั้งนี้ไม่สุจริตและไม่เที่ยงธรรมอย่างแน่นอน. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง