เลิกล้วง‘ธกส.’แจกดิจิทัล

คลังปรับแผนดิจิทัลวอลเล็ต เลิกล้วงเงิน ธ.ก.ส. อ้างไม่จำเป็นแล้ว จ่อชงบอร์ดชุดใหญ่ใช้งบ 4.5 แสนล้านบาท จากบริหารงบปกติปี 67-68 คาดคนลงทะเบียนไม่เต็ม 50 ล้านคน พร้อมเบรก “เครื่องใช้ไฟฟ้า-สินค้าอิเล็กทรอนิกส์-มือถือ” ร่วมโครงการ ด้าน "กบน." ส่อขยับเพดานราคาดีเซลขึ้นอีก 1 บาท ขายปลีกไม่เกิน 34 บาท/ลิตร หวังลดภาระกองทุนน้ำมัน หลังติดลบแสนกว่าล้านบาท 

เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ว่าสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง ได้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแหล่งเงินที่จะใช้ในโครงการ ว่าอาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐแล้ว เนื่องจากตามข้อศึกษาของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พบว่าการดำเนินโครงการใดของรัฐในอดีต เช่น คนละครึ่ง มียอดผู้ใช้สิทธิ์ไม่เกิน 90%

ดังนั้นในส่วนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งรัฐบาลยังยืนยันจะครอบคลุมประชาชน 50 ล้านคนเช่นเดิม แต่กระบวนการในการเตรียมงบประมาณเพื่อรองรับการดำเนินการคงไม่เกิน 90% หรือใช้เงินประมาณ 4.5 แสนล้านบาทเท่านั้น ซึ่งตามข้อเสนอมองว่าสามารถใช้วิธีการบริหารจัดการด้วยวิธีงบประมาณตามปกติได้ คือดำเนินการผ่านงบประมาณปี 2567 ที่จะมีการตั้งงบประมาณราว 1.6 แสนล้านบาท ประกอบด้วย งบประมาณเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท และงบประมาณจากการบริหารจัดการในส่วนต่างๆ อีกราว 4.3 หมื่นล้านบาท และในปีงบประมาณ 2568 จะมีการตั้งงบประมาณกว่า 2.8 แสนล้านบาท มาจากการตั้งงบประมาณ 1.52 แสนล้านบาท และจากการบริหารจัดการงบประมาณในส่วนอื่นๆ อีกราว 1.32 แสนล้านบาท ซึ่งสุดท้ายเชื่อว่าจะเพียงพอรองรับการดำเนินการ

 “เรายังตั้งเป้า 50 ล้านคนเช่นเดิม แต่จากประสบการณ์ในอดีต จะมีประชาชนมาลงทะเบียนไม่เต็มตามเป้าหมาย หลักๆ ไม่เกิน 90% สำนักงบประมาณและคลังจึงมีข้อเสนอให้ใช้กระบวนการในการบริหารงบประมาณแทนในวงเงิน 4.5 แสนล้านบาท ซึ่งท้ายที่สุดหากต้องใช้เงินในโครงการน้อยกว่าที่ตั้งไว้ ก็นำเงินส่วนที่เหลือไปใช้ในโครงการอื่นที่เป็นการพัฒนา หรือปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศได้ แต่หากจำเป็นต้องใช้เงินมากกว่าที่ตั้งไว้ ก็จะใช้วิธีการบริหารจัดการงบเอาเงินมาเติม ส่วนข้อสรุปว่าจะใช้เงินเท่าไหร่ คงต้องรอดูยอดลงทะเบียนด้วยว่าจะเป็นเท่าไหร่ อาจจะ 48 ล้านคน งบตรงนี้ก็ครอบคลุม ซึ่งตอนนี้วางแผนว่าจะปิดลงทะเบียนก่อนสิ้นเดือน ก.ย.นี้ ก็จะได้มาสรุปกันอีกทีว่าจะใช้กลไกในการบริหารงบเข้ามาดูว่าจะต้องใช้เงินบวกหรือลบจากที่ตั้งไว้” นายจุลพันธ์ระบุ

รมช.การคลังกล่าวว่า รัฐบาลยืนยันว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะออกได้แน่นอน ไม่มีความซับซ้อน ส่วนการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ยังไม่ได้สรุปในวันนี้ อำนาจการตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่คณะกรรมการดิจิทัลชุดใหญ่ ส่วนข้อสังเกตเรื่องการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโครงการนั้น มองว่าไม่มีใครคิดโครงการวันแรกแล้วออกเลย  การดำเนินการไม่ได้สวยหรูเหมือนฝัน เมื่อปฏิบัติจริงก็ต้องเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม เป็นความจำเป็นที่จะต้องทำให้ถูกต้องทั้งหมดด้วย

สำหรับรายละเอียดดังกล่าวยังเป็นเพียงข้อเสนอ ซึ่งจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในวันที่ 15 ก.ค.นี้ ซึ่งท้ายที่สุดจะมีข้อสรุปหรือข้อคิดเห็นอย่างไร คงขึ้นอยู่กับมติที่ประชุม และจะมีการแถลงรายละเอียดเรื่องวันลงทะเบียน วิธีการ และช่องทางต่างๆ ในวันที่ 24 ก.ค.2567 ส่วนการใช้เงิน ธ.ก.ส. ตามมาตรา 28 ซึ่งตามข้อเสนอระบุว่าอาจจะไม่มีความจำเป็นแล้วนั้น แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีข้อห่วงใยจากหลายฝ่ายในส่วนนี้ แต่ก็อยากยืนยันว่าหากต้องดำเนินการจริงก็ไม่มีปัญหาอะไร พร้อมทั้งยืนยันว่าเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะถึงมือประชาชนภายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน พร้อมยืนยันว่าข้อเสนอเรื่องการใช้วิธีการบริหารงบประมาณแทนนั้น อาจจะมีผลกับโครงการลงทุนตามงบลงทุนบ้าง แต่ไม่มีผลกระทบในเรื่องเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง

ทั้งนี้ ในส่วนของคุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการยังเป็นไปตามเดิมคือ ต้องเป็นผู้มีอายุ 16 ปี กำหนดวันตัดสิทธิ์ คือวันที่ 30 ก.ย.2567 หรือวันสุดท้ายของการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เกณฑ์รายได้วัดจากฐานข้อมูลเงินได้ของกรมสรรพากร ณ ปี 2566 ซึ่งสิ้นสุดไปแล้วเมื่อ 31 ธ.ค.2566 กำหนดว่าจะต้องไม่เกิน 8.4 แสนบาท หรือมีเงินเดือนไม่เกิน 7  หมื่นบาท และต้องเป็นผู้มีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท ณ วันที่ 31 มี.ค.2567

 ส่วนสินค้า Negative List ได้ข้อสรุปแล้วว่า  เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสาร ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ขณะที่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการและต้องการนำเงินออก จะต้องมีการผูกเบอร์โทรศัพท์แบบรายเดือนเข้ากับระบบด้วย นอกเหนือจากต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี เพื่อป้องกันหากมีปัญหาจะสามารถตามตัวได้ ส่วนแอปพลิเคชันที่จะใช้นั้น สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สพร. หรือ DGA อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งยืนยันว่าจะเสร็จทันภายในปีนี้แน่นอน

ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า จะมีเงินเพียงพอรองรับเท่ากับจำนวนประชาชนที่มาลงทะเบียนแน่นอน เพื่อให้ถูกต้องตาม พ.ร.บ.เงินตรา ส่วนเงื่อนไขในโครงการทั้งหมดได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เงินมีการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากที่สุด

นายเฉลิมพล เพ็ญสูตร ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กล่าวว่า วงเงิน 1.3 แสนล้านบาท ที่จะใช้ในปีงบประมาณ 2568 นั้น จะมาจากการบริหารจัดการทางการคลังและวิธีงบประมาณ ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การบริหารงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งจะต้องไปดูใกล้ชิดว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่ ถ้าบริหารจัดการแล้วอาจจะมีส่วนที่ไม่สามารถใช้ได้ทัน ก็ปรับมาใช้ในส่วนนี้ หรือบางรายการที่สามารถโอนเปลี่ยนแปลงมาใส่ในรายการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ซึ่งมั่นใจว่าวงเงินดังกล่าวจะสามารถบริหารจัดการได้แน่นอน และไม่มีผลกระทบกับงบลงทุนให้มีการเปลี่ยนแปลง

วันเดียวกัน มีรายงานข่าวจากกระทรวงพลังงานว่า ความคืบหน้าการกำหนดราคาดีเซลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2567 เป็นต้นไป ภายหลังครบกำหนดกรอบราคาไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ตามมติคณะรัฐมนตรี กำหนดตรึงตั้งแต่วันที่ 20 เม.ย.67 ครบกำหนด 31 ก.ค.67 นั้น เบื้องต้นมีแนวโน้มว่าคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน จะมีการพิจารณาแนวทางการปรับขึ้นราคาดีเซลแบบทยอยขึ้นกรอบ 1 บาทต่อลิตร ทำให้เพดานราคาอยู่ที่ไม่เกิน 34 บาทต่อลิตร เพื่อรักษาสภาพคล่องให้กับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปัจจุบันฐานะ ณ วันที่ 7 ก.ค.67 ติดลบ 111,595 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 63,944 ล้านบาท และบัญชีแอลพีจีติดลบ 47,651 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกยังมีความผันผวนสูง ช่วงเดือนที่ผ่านมาแนวโน้มลดลงบ้างจนกองทุนน้ำมันฯ ลดอุดหนุนระดับ 4 บาทต่อลิตร จนสามารถเก็บเงินผู้ใช้น้ำมันดีเซลเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำเร็จ แต่ขณะนี้แนวโน้มกลับมาขึ้นอีกครั้ง ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ต้องอุดหนุนกว่า 2 บาทต่อลิตร สถานการณ์ดังกล่าวหากไม่ปรับราคาหลังวันที่ 31 ก.ค. อาจทำให้กองทุนน้ำมันฯ สถานการณ์ยิ่งแย่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง