บิ๊กโจ๊กงัดคดีเก่า ฟ้อง157นายกฯ ‘ต่อ’ย้ำพี่น้องกัน

“บิ๊กโจ๊ก” ยื่น ป.ป.ช.ฟ้อง “เศรษฐา” ผิด ม.157 ปมแต่งตั้ง “บิ๊กต่อ” เป็น  ผบ.ตร.โดยมิชอบ ยันไม่ถอนเพราะเป็นอาญาแผ่นดิน ไม่ได้ท้ารบแค่ปกป้องสิทธิ ด้าน “บิ๊กต่อ”      ย้ำไม่มีความขัดแย้งกับ “สุรเชษฐ์” อยู่กันแบบพี่น้อง

เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง  ผบ.ตร. นำเอกสารจำนวน 4 แฟ้ม แบ่งเป็น 2   แฟ้มใหญ่ และ 2 แฟ้มเล็ก ยื่นให้กับ ป.ป.ช. โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ระบุว่า มายื่น 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกคือคดีฟอกเงิน สน.เตาปูน ที่เรื่องอยู่ในชั้น  ป.ป.ช. มายื่นเอกสารที่เกี่ยวข้อง ทั้งรายละเอียดต่างๆ ในคดี โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงิน และคำชี้แจงข้อกล่าวหาฐานฟอกเงิน ซึ่งเป็นการยื่นตามขั้นตอนของกระบวนการ ป.ป.ช. และขณะนี้สถานะของตนเองเมื่ออยู่ในชั้น ป.ป.ช. จะเปลี่ยนจากเดิมที่เป็นผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ถูกตรวจสอบ เพื่อรอการไต่สวนและชี้มูล  ดังนั้นตราบใดที่ ป.ป.ช.ยังไม่ชี้มูล ถือว่ายังบริสุทธิ์

ส่วนคดีมินนี่ ที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาลูกน้องตน 8 คน ได้ส่งอัยการและอัยการส่งสำนวนกลับนั้น เพราะอัยการมองว่าผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบเป็นของ ป.ป.ช. คาดว่าเร็วๆ นี้พนักงานสอบสวนจะนำสำนวนดังกล่าวมาส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการ ดังนั้น จึงเห็นได้ชัดว่าการสอบสวนตั้งแต่ต้นส่วนตัวมองว่าเป็นการสอบสวนโดยมิชอบ เมื่อมิชอบจะถือว่าเป็นการสอบสวนที่ผิด  คงจะคาดการณ์ได้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวอีกว่า เรื่องที่ 2 มายื่นกล่าวหานายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็น ผบ.ตร.โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ซึ่งก่อนหน้านี้ วันที่ 22 เม.ย. ตนได้มายื่นฟ้องไปแล้ว และถอนฟ้องในวันที่ 23 เม.ย. เนื่องจากในขณะนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ได้มายื่นกล่าวหาไปแล้วครั้งหนึ่ง จึงไม่อยากให้เกิดความซ้ำซ้อน แต่ล่าสุดตนได้เจอกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และทราบว่าท่านได้ถอนฟ้องไปแล้ว แต่ไม่ทราบเหตุผล ดังนั้น ตนในฐานะพยานผู้เสียหายโดยตรง จึงมายื่นฟ้องอีกครั้ง เพื่อจะได้เป็นผู้ติดตามผล และได้นำผลของการพิจารณาของ ป.ป.ช.มาชี้แจงกับประชาชน

เขาบอกว่า กรณีการแต่งตั้ง ผบ.ตร.โดยมิชอบนั้น ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เนื่องจากหลักเกณฑ์ต้องคำนึงถึง 2 ส่วนคือ ความอาวุโสและมีความรู้ความสามารถในการป้องกันและปราบปราม แต่ขณะนั้นนายกฯ ให้เหตุผลการแต่งตั้งว่า  เพื่อสามารถตอบสนองนโยบายรัฐบาลของรัฐบาลได้ และเป็นที่ไว้วางใจ ดังนั้น หากแต่งตั้งแบบนี้ก็ไม่เป็นไปตามกฎหมาย ขัดกับ พ.ร.บ.ตำรวจ ซึ่งในขณะนี้หากปฏิบัติตามเกณฑ์   พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ เป็นผู้อาวุโสลำดับที่ 1  แล้วตนเองเป็นอาวุโสลำดับที่ 2 แต่มีการเสนอชื่ออันดับสุดท้ายมาเลย โดยไม่ไล่เรียงอันดับ 1 2 3  ก่อน จึงถือเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจ

รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า แม้นายกฯ จะมีอำนาจในการเสนอชื่อบุคคลใดเป็นแคนดิเดต แต่จะต้องชี้แจงเหตุผล หากจะไม่เอาเบอร์ 1 2 3 ว่าเป็นเพราะอะไร ไม่ใช่อยู่ๆ ไปเอาเบอร์สุดท้ายมาเลย ยืนยันว่าตามกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจไม่มีการให้คะแนน เพราะหากจะให้คะแนนประชาชนจะต้องเป็นคนให้คะแนน และถ้าจะไม่เอาหลักเกณฑ์ลำดับอาวุโส ต้องแก้กฎหมายใหม่ไปเลย ส่วน ก.ตร.ในขณะนั้นที่เห็นชอบแต่งตั้ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ก็ต้องรับผิดชอบด้วย แต่มี 2 คนที่ไม่ได้ยกมือเห็นชอบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะกลับลำถอนฟ้องอีกหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ตอบว่า ความผิดนี้เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ใครจะยื่นฟ้องก็ได้ แต่คนอื่นไม่ใช่ผู้เสียหาย ตนเองเป็นผู้เสียหายชัดเจน ดังนั้น อาญาแผ่นดินถอนฟ้องไม่ได้ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการท้ารบ แต่ทำไปตามกฎหมาย ไม่เช่นนั้นองค์กรจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าไม่ยึดหลักกฎหมาย แต่ไปสนองนโยบาย และการฟ้องครั้งนี้ไม่ได้จัดหนัก แต่การจะทำอะไรต้องคิดอย่างรอบคอบ

 “การกล่าวหาไม่ได้โกรธส่วนตัวกับนายกฯ แต่เป็นการกระทำผิดในตำแหน่งนายกฯ ส่วนผมอาจจะได้กลับไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรืออาจจะถูกออกไปเลยก็ได้ ซึ่งก็ไม่เป็นไร แต่เป็นการทำเพื่อรักษาระเบียบข้อกฎหมายขององค์กร เพื่อให้องค์กรยังอยู่ได้ เพื่อคนรุ่นหลัง และไม่ได้เป็นการทำเพื่อตัวเอง และไม่ได้เป็นการไล่เช็กบิลใคร”

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังกล่าวถึงกรณีนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางไปยังกองบังคับการปราบปรามเพื่อขอให้รื้อคดีลอบยิงรถยนต์ของตนเมื่อปี 63 โดยระบุว่า "เป็นห่วง กลัวบิ๊กโจ๊กถูกยิงตาย" ว่าเรื่องนี้จบไปนานแล้ว ส่วนตัวรู้ว่าฝีมือใคร แต่พูดไม่ได้ เพราะจะไปเข้าความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งตอนนี้เวรกรรมกําลังตามทันคนที่ทํา ยืนยันไม่กังวล หากกังวลคงไม่ออกมา อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่ได้ดูที่นายอัจฉริยะออกมาพูดว่าเป็นห่วงตัวเอง ส่วนจะเป็นการแช่งหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ

ด้าน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณีที่ประชุม ก.ตร.มีมติเอกฉันท์ 12 ต่อ 0 ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกจากราชการไว้ก่อนว่า เป็นเรื่องของการประชุม ตนขอไม่ออกความคิดเห็น

ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นที่มีกระแสข่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์อาจจะลาออกจากราชการก่อนเกษียณ เขาตอบว่า แค่พูดกันไป แต่ยังไม่ได้มีอะไร เราก็ทำงานเต็มที่ ทำหน้าที่ให้มันดี แค่นั้นเอง หมดหน้าที่เราก็ไป ตอนนี้ก็ทำหน้าที่ได้อย่างสบายใจ ให้มันเป็นเรื่องของอนาคต

ถามอีกว่า ไม่มีการเซ็นยกเลิกคำสั่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ใช่หรือไม่ ผบ.ตร.ระบุว่า อย่าไปพูดเรื่องนั้น เราต้องทำงาน ไม่ได้มีปัญหาอะไร สำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกคนก็ร่วมกันทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน

"ผมกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกัน ผมไม่เคยคิด เราอยู่กันแบบพี่น้อง ขออย่าให้เป็นประเด็นดีกว่า" พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กล่าว

ที่รัฐสภา นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สส.เลย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร รับหนังสือจากนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เรื่องขอให้ กมธ.ตรวจสอบ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ว่าเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ และร่วมกันกับพวกลักรถของ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรืออดีตผู้กำกับโจ้ รวมทั้งเกี่ยวกับถุงเงิน 6 ล้านของ พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล หรือสารวัตรซัว

นายอัจฉริยะกล่าวว่า การเดินทางมาร้องที่ กมธ.ในครั้งนี้ เพราะตนไม่รู้จะไปพึ่งใคร เนื่องจากตนไปร้องมาหลายที่แล้ว ซึ่งตนเคยไปร้องที่สำนักนายกฯ และทางสำนักนายกฯ โยนไปที่ ปปง. ซึ่งไม่รู้ว่า ปปง.โยนไปที่ไหนอีก จึงต้องการให้ทาง กมธ.ช่วยดำเนินการ เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะตำแหน่งเลขาธิการ ปปง.ต้องโปร่งใสและสุจริต และเป็นตำแหน่งที่ประชาชนคาดหวังว่าจะต้องเป็นคนที่สุจริต แต่ปรากฏว่าหลักฐานที่มีการสืบพยานหลักฐานแล้วปรากฏว่า  พล.ต.ต.เอกรักษ์มีความเกี่ยวพันจริง

 “หากเรื่องนี้ยังเงียบอีก ผมจะไปยื่นต่อ ป.ป.ช.เพื่อเอาผิดนายกฯ และประธาน ปปง. ที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่” นายอัจฉริยะกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง