‘โจ๊ก’ซัดนายกฯความผิดสำเร็จ

นายกฯ ยันปม “บิ๊กโจ๊ก” ไตร่ตรองดีแล้ว ยันให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย เผยที่ประชุม ก.ตร.ยังไม่นำคำสั่งขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต้องรอมติ ก.พ.ค.ตร.  คาด 30 วันรู้ผลสอบ "บิ๊กต่าย" ลั่นไม่หนักใจทำตามหน้าที่ ยกตัวอย่าง ตร.ถูกจับคดีค้ายาเสพติดซึ่งหน้าคาหนังคาเขาก็ต้องให้ออกจากราชการทันที  "โจ๊ก" เดือดจ่อฟ้องนายกฯ-ก.ตร.ยกชุด มั่นใจจะได้รับความเป็นธรรมจาก “ก.พ.ค.ตร.” ซัดนายกฯ บอกจะให้ความเป็นธรรมเป็นแค่วาทกรรม

เมื่อวันพฤหัสบดี นายเศรษฐา​ ทวีสิน ​ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงมติที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มีมติ 12 ต่อ 0 เห็นชอบคำสั่งของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ออกจากราชการไว้ก่อน กังวลหรือไม่ว่าจะถูก พล.ต อ.สุรเชษฐ์ฟ้องเอาผิดตามมาตรา 157 ว่า กังวลทุกเรื่อง สื่อถามทุกวัน และอย่างที่ตนเคยบอกไป เราปฏิบัติยึดตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นเราไตร่ตรองดีแล้ว และก็ให้ความเป็นธรรมกับ พล.ต อ.สุรเชษฐ์

เมื่อถามว่า ตามขั้นตอนต้องรอคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) หรือนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องให้ออกจากราชการไว้ก่อน นายกฯ กล่าวว่า ตรงนี้ก็เป็นอย่างหนึ่งที่เราให้ความเป็นธรรมกับ พล.ต อ.สุรเชษฐ์ ว่าในขณะที่มีเรื่องร้องเรียนอยู่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็ไปยื่นร้องกับ ก.พ.ค.ตร. ซึ่งอีกประมาณ 30 วัน ก็น่าจะตัดสินได้แล้ว ตนถือว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ก็มีการพูดคุยกันระหว่างคณะกรรมการ ก.ตร แล้วว่าเรื่องการทูลเกล้าฯ ถวายคงพักไปก่อน รอให้ ก.พ.ค.ตร.มีมติที่ชัดเจนแล้วค่อยมาว่ากัน

ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร  รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงมติที่ประชุม ก.ตร. ที่ออกมาเป็นเอกสารว่าคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบและให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายว่า ได้มีการแถลงให้ที่ประชุม ก.ตร.รับทราบถึงที่ไปที่มาและเหตุผลในการออกคำสั่งดังกล่าว ก่อนที่จะออกมาด้านนอก และให้ในที่ประชุมได้ลงมติดังกล่าว ภายหลังจากทราบผล ตนรู้สึกว่าในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่รักษาราชการแทน ตนทำหน้าที่ด้วยความสุจริตใจ ซึ่งช่วงเวลานั้นใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบ โดยในช่วงเวลาดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ถูกศาลออกหมายจับ และไม่รับหมายเรียก ในขณะที่พนักงานสอบสวน (พงส.) ไปขอศาลออกหมายจับ องค์คณะผู้พิพากษาได้นำเรื่องพฤติการณ์ทางคดีและพยานหลักฐานต่างๆ ไปพิจารณา โดยเวลาพิจารณานานเกือบ 1 วัน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวยืนยันว่า ทำไปด้วยความสุจริตใจ ไม่ได้ต้องการขัดแข้งขัดขาอย่างที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ตั้งข้อสังเกต ไม่ได้มีความดีใจหรือเสียใจ แต่ผลการพิจารณาเป็นไปตามเหตุผลและการอภิปรายของตนเอง และในที่ประชุม ก.ตร.เป็นความรู้สึกปกติที่ว่าการพิจารณาออกคำสั่งของตนตามข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ตามความร้ายแรงที่เกิดขึ้นเพราะกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ตนไม่สบายใจในเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) อยากให้ปัญหาความขัดแย้งใน ตร.หายไป เพื่อให้ตำรวจทุกนายสบายใจ ประชาชนสบายใจ และดูแลทุกภาคส่วนได้ดีมากขึ้น หากปัญหาดังกล่าวหายไปตนจะสบายใจมากขึ้น

 “ในขั้นตอนหลังจากนี้ อยู่ที่ ก.พ.ค.ตร.จะพิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งภายหลังจากที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้ทำอุทธรณ์ไปถึง ก.พ.ค.ตร. ผมก็ได้ทำคำแก้อุทธรณ์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ส่งไปให้ทางคณะกรรมการฯ แล้ว และเชื่อว่าคณะกรรมการฯ อาจจะนำผลการพิจารณาของอนุกรรมการ ก.ตร.วินัย และผลการลงมติ ก.ตร.ไปพิจารณาด้วย แต่ตามขั้นตอนแล้ว หากผลของ ก.พ.ค.ตร.ออกมาไม่เป็นผลดีต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็เชื่อว่าคงจะไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองในขั้นสุดท้าย" รอง ผบ.ตร.กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่าหากผลของ ก.พ.ค.ตร.ออกมาไม่เป็นบวกกับตัวเอง จะฟ้องร้องเอาผิดทั้งตร. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า เป็นสิทธิ์ที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์สามารถทำได้ และเป็นธรรมดาที่ตำรวจจะโดนฟ้องจากผู้จับกุม ผู้ที่ถูกตรวจค้น แต่หากทำด้วยความสุจริตใจ และไม่ได้มีเจตนาใดแอบแฝง ซึ่งตนไม่ได้มีเจตนาใดๆ สามารถตอบและชี้แจงต่อหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ได้ ที่ตนเซ็นคำสั่งมีฝ่ายกฎหมายของ ตร.และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายให้คำแนะนำ โดยวิธีการตีความข้อกฎหมาย ไม่ควรตีความกฎหมายเพียงมาตราใดมาตราเดียว แต่ต้องพิจารณาร่วมกัน และร่วมกับพฤติการณ์การกระทำความผิดของผู้ที่ต้องวินัย

 “ยกตัวอย่างว่าหากมีตำรวจถูกจับคดียาเสพติดซึ่งหน้า แบบคาหนังคาเขา ก็ต้องให้ออกจากราชการทันที แต่หากหยุดไว้ก่อน ให้ทำงานและรอคณะกรรมการสอบสวนเสนอแนะก่อน ก็ตั้งคำถามว่าเหมาะสมหรือไม่ ประชาชนจะมองอย่างไร ขายยาโจ่งแจ้งอย่างนี้ยังจะให้รับราชการอีกหรือ ยกตัวอย่างมีการตั้งคณะกรรมการวินัยร้ายแรง แต่ก็ยังไม่ให้ออกจากราชการ เช่น ตำรวจนายหนึ่งละทิ้งราชการนาน 15 วัน แต่ก็ยังไม่ให้ออกจากราชการ แต่ต้องตั้งคณะกรรมการตรวจสอบว่าเกิดจากอะไร แต่หากตำรวจนายนี้ไม่มาทำงานและยังมีปฏิกิริยาที่แทรกแซงข่มขู่หรือกระทำด้วยประการใดๆ ที่ทำให้การสอบสวนไม่เป็นธรรม ไม่เป็นกลาง พงส.และคณะกรรมการฯ ก็สามารถเสนอความเห็นให้ออกจากราชการได้" รอง ผบ.ตร.กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ให้สัมภาษณ์ว่าที่ประชุม ก.ตร.วานนี้ มีแต่คณะกรรมการฯ ที่อยู่ฝ่ายหรือเป็นลูกน้องของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.  เรื่องนี้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์คงมองว่าไม่เป็นธรรม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า ก็สามารถร้องเรียนและขอความเป็นธรรมได้ ซึ่งเป็นสิทธิ์ แต่การฟ้องร้องขอให้มีข้อมูลและเหตุผลเพียงพอ เพราะไม่เช่นนั้นผู้ถูกฟ้องก็คงต้องดำเนินการตามกฎหมายกลับไปเหมือนกัน แต่สำหรับตนไม่ได้วิตกกังวลอะไร

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวด้วยว่า ภายหลังจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กลับมาปฏิบัติราชการแล้ว ก็ได้มีการทักทายกันตามปกติ และได้ทำงานร่วมกัน ไม่มีอะไร  ส่วนที่มีข่าวว่าจะมีนายตำรวจใหญ่ย้ายไปสังกัดปลัดกระทรวงมหาดไทย ยืนยันว่าไม่ว่าจะมีการทาบทามหรือไม่ ตนก็จะไม่ไป เพราะจะเกษียณราชการในหน้าที่ตำรวจ เพราะรักในอาชีพนี้ ส่วนการประชุม ก.ตร.ที่นายกฯ ได้เดินมาตบไหล่เบาๆ นั้น เป็นการทักทายตามปกติ ไม่มีอะไร  เพราะตนก็เพิ่งพ้นจากหน้าที่รักษาการ ผบ.ตร. และในช่วง 3 เดือนก็ได้ทำงานร่วมกับนายกฯ อย่างใกล้ชิด

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวถึง ก.ตร.มีมติเอกฉันท์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมายว่า ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องที่ผิดความคาดหมาย รู้อยู่แล้ว  ที่เลขาฯ ก.ตร.ออกมาแถลงเขาไม่ได้บอกว่ามีมติ 12 ต่อ 0 เขาบอกว่า ก.ตร.ไม่มีอำนาจ ให้ไปรอฟังการวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. ในเรื่องนี้ ก.ตร.ไม่มีอำนาจพิจารณา เพราะเรื่องการใช้สิทธิ์อุทธรณ์ร้องทุกข์ต่างๆ เมื่อกรณีคำสั่งการปกครองไม่ชอบ ยกตัวอย่างเช่นกรณีการโยกย้ายตำรวจไม่ชอบ ตำรวจคนนั้นต้องไปยื่นศาลปกครอง อนุ ก.ตร.วินัยไม่มีอำนาจพิจารณา เช่นเดียวกันกับกรณีของพล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตา ถูกให้ออกจากราชการ ก็ไปร้องที่ศาลปกครองถึงได้กลับมา แต่ขณะนี้ พ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่ออกแบบมาเพื่อไม่ให้ตำรวจไปร้องเรียนหน่วยงานอก ตร.เลียนแบบข้าราชการพลเรือนให้มี ก.พ.ค.ตร. เทียบเท่าศาลปกครองชั้นต้น ตนก็คล้ายกับ พล.ต.อ.วิระชัย ได้ยื่นต่อ ก.พ.ค.ตร.ไปตามระบบขั้นตอน

ผู้สื่อข่าวถามถึงนายกรัฐมนตรี หนึ่งใน ก.ตร. เห็นด้วยให้ออกจากราชการไว้ก่อนมีนัยหรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ตอบว่า นัยมีแน่ เริ่มแรกตนถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อนจึงได้ทำหนังสือถึงนายกฯ คำสั่งมันไม่ชอบ ถ้าถูกต้องนายกฯ ต้องนำความกราบบังคมทูลแล้ว ถ้านายกฯ ไม่นำกราบบังคมทูล นายกฯ ก็ละเว้น นายกฯ ก็เซฟตัวส่งไปให้กฤษฎีกาตีความ เมื่อมีกฤษฎีกาเป็นหลังพิงนายกฯ ก็โยนไปให้ ผบ.ตร.ทำเองแก้เอาเอง คิดว่าจะพ้นตัว ต่อมานายกฯ ไปนั่งเป็นประธาน ก.ตร. แล้วยังไปรับรองอีก อย่างนี้เรียกว่าความผิดสำเร็จแล้ว หลังจากนี้ก็ต้องดำเนินคดี

เมื่อถามว่า นอกจากนายกฯ แล้ว ก.ตร.จะดำเนินคดีทั้งหมดด้วยหรือไม่ เขาตอบว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของ ก.พ.ค.ตร.แล้ว ก.ตร.มีอำนาจหรือเปล่า ถามอีกว่าถ้าฟ้องทั้งหมดจะไม่เอาพวกไว้บ้างเหรอ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ตอบว่า พวกผมมีเยอะ ที่ประชุมมีสิบกว่าคน แต่ความยุติธรรมมันทั้งประเทศ วันนี้ตำรวจหลายคนติดตามอยู่ว่าอันไหนผิดอันไหนถูก เขาต้องไปดูว่าเรื่องอะไรก็ตามมีอำนาจพิจารณาหรือไม่ เหมือนกันกับอนุ ก.ตร.วินัย เป็นตำรวจ แล้ว จะกล้าไปบอกว่าคำสั่ง ผบ.ตร.หรือไม่ เหมือนเล่นตะกร้อชงเองกินเอง  “ใครไม่โดนแบบผมบ้างไม่เข้าใจ” หาว่าตนไปหาตีหาต่อย ไม่ใช่ ตนกำลังตามหาความยุติธรรมให้กับตนเอง ทำไมผมถูกรังแกมาทั้งชีวิต

"มั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ข้อพิจารรณา แต่เป็นข้อกฎหมาย ไม่น่าจะนาน ก.พ.ค.ตร.เขาพิจารณาเหมือนศาลปกครอง มั่นใจจะได้รับความเป็นธรรม ถ้าเป็นลบใช้สิทธิ์ร้องศาลปกครองสูงสุด ถ้าศาลปกครองสูงสุดพิจารณาเป็นลบผมจบ"

ถามอีกว่า นายกฯ เศรษฐาให้สัมภาษณ์ว่าจะให้ความเป็นธรรม เขาตอบว่า นั่นเป็นแค่วาทกรรม แต่การปฏิบัติไม่ใช่ ถ้าผมเป็นนายกฯ จะทำให้ชัดเจน เมื่อคำสั่งไม่สมบูรณ์วาระนี้ไม่นำเข้า ก.ตร.รอผล ก.พ.ค.ตร. จะนำเข้าทำไมเมื่อไม่มีอำนาจพิจารณา 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 28 มิ.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะเดินทางไปฟ้องอดีตตำรวจระดับนายพลที่ศาลอาญากรุงเทพใต้อีกคน ที่ให้ความเห็นต่อการให้ออกจากราชการที่เป็นผลลบกับตัวเอง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

จ่อสอบผู้สมัครสว.กว่า4หมื่นคน

เลขาฯ กกต.ยกคำพิพากษาศาลวินิจฉัยสมัคร สว.ไม่ตรงกลุ่มอาชีพไม่ผิด สิทธิการรับสมัครเป็นคนละส่วนกับเอกสารรับสมัครเป็นเท็จ

นช.อัดศึกสีกากีวุ่นวาย ‘บิ๊กโจ๊ก’ลุยฟ้องรายวัน

“ทักษิณ” ชี้เกาเหลาบิ๊กสีกากีเป็นเรื่องวุ่นวาย แต่ยืนยันไม่ยุ่งเพราะไม่มีหน้าที่ "เอก"  แฉ "บิ๊กโจ๊ก" ขอพบเล่าเรื่องบิ๊กตำรวจเป็นสิบ