‘โจ๊ก’ลุยสางแค้นฟ้องดะ ‘บิ๊กต่าย-บิ๊กเต่า’ไร้กังวล

"บิ๊กโจ๊ก" จ่อฟ้อง "เศรษฐา" หากไม่เพิกถอนคำสั่งออกจากราชการ จะไปหา "บิ๊กต่อ" แนะเลือกคำสั่งให้ถูกต้อง เตรียมฟ้องหมิ่นประมาทหนึ่งใน ก.ตร.และอดีตตำรวจภายในสัปดาห์นี้ ด้าน "บิ๊กต่าย" ลั่นไม่คิดจะถูกเช็กบิล ไม่หวั่นตายเดี่ยว

เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567 พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เดินทางไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นหนังสือคำร้องให้สอบสวน พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รวมถึงผู้บัญชาการกฎหมาย และผู้บังคับการกองวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรณีมีความเห็นเซ็นคำสั่งให้ตัวเองออกจากราชการไว้ก่อน

โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์อธิบายว่า ตามกระบวนการที่จะให้ตัวเองออกจากราชการไว้ก่อน จะต้องผ่านความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนที่มีการแต่งตั้งขึ้นมา โดยมี พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช เป็นประธาน ถึงจะถือว่าคำสั่งเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย การที่มาร้องเรียนในวันนี้เพื่อปกป้องสิทธิที่ถูกลิดรอน เพราะมีการบังคับใช้กฎหมายผิด พร้อมฝากเตือนไปถึงคนที่ออกคำสั่งว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

ส่วนเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ที่ทำหนังสือถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาทบทวนคำสั่งให้ออกจากราชการของตัวเองนั้น ก็เพราะนายกฯ สวมหมวกสองใบ คือผู้บังคับบัญชาตำรวจและประธาน ก.ตร. แต่ถ้าหลังจากนี้ยังละเลยเพิกเฉยก็จะใช้สิทธิ์ฟ้อง ม.157 เหมือนกัน

พร้อมย้ำว่าไม่ใช่การขู่ แต่เป็นการป้องกันสิทธิ์ และอดีตก็เคยฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ช่วงที่เคยถูกย้ายไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2 ปี และจะไปยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ดำเนินการพิจารณาเลือกคำสั่งให้ถูกต้อง

นอกจากนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์บอกว่า ภายในสัปดาห์นี้จะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับกูรูทางกฎหมายที่ชอบให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอย่างน้อย 2 คน คนหนึ่งเป็นอดีตตำรวจ และอีกคนคือหนึ่งใน ก.ตร. ซึ่งเคยร้องห่มร้องไห้เพราะไม่ได้รับตำแหน่ง ผบ.ตร. โดยขณะนั้นตัวเองดำรงยศเป็น พล.ต.ต.

เมื่อสอบถามว่าการเซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกิดจากการผิดพลาดเข้าใจผิดในเรื่องเนื้อหาของกฎหมาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์บอกว่า พลาดเพราะรีบ และให้ย้อนไปดูว่าใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้บ้าง ซึ่งกรณีนี้คือสาเหตุที่ทำให้ตัวเองยื่นขอให้ ป.ป.ช.สอบคนออกคำสั่งนี้ โดยขณะนี้เชื่อว่าทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทราบแล้ว หลังจากที่นายวิษณุ เครืองาม ออกมาแถลงข่าวว่าผลของคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นอย่างไร ถ้ายังคงเพิกเฉย ละเลย ไม่แก้ไข ตนก็จะเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมและเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้อง จะบอกไม่ทราบไม่รู้ระเบียบไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ถือว่ากระทบสิทธิ์ของตัวเอง

ส่วนของคดีอาญาทั้งตัวเองและ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ตอนนี้สำนวนถูกส่งมาให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาไต่สวน โดยไม่ขอก้าวล่วงในรายละเอียด ตามหลักตัวเองถือว่าบริสุทธิ์ แต่ที่ผ่านมาก็มีการนำรายละเอียดของสำนวนมาเปิดเผย อย่างเช่นที่ตัวเองฟ้องร้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเรื่องคดี ส่วนตัวเองจะมีความผิดจริงหรือไม่ขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

ช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์บอกว่า ตอนนี้ประเทศไทยถูกโจมตีว่าเป็นฮับของการก่อการร้าย เพราะฉะนั้นตอนนี้จึงอยากกลับมาทำงานแล้ว อยากทำให้ประเทศไทยดีขึ้น ชาวบ้านเดือดร้อนเยอะ ทั้งเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จีนเทา หนี้นอกระบบ รวมถึงปัญหายาเสพติดที่กำลังระบาดหนัก ย้ำที่อยากกลับไปเพราะอยากทำงานเท่านั้นเอง พร้อมบอกว่า "ถ้าตำรวจดี ประเทศดีแน่"

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ความเห็นของกฤษฎีกาสวนทางกับคณะอนุกรรมการวินัย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ย้อนถามว่า สื่อควรเชื่อใครมากกว่ากัน ระหว่างอนุกรรมการวินัยฯ หรือกฤษฎีกา อย่าลืมว่ากฤษฎีกาเป็นมือกฎหมายของรัฐบาล ขนาดนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยังต้องขอความเห็นกฤษฎีกาเรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท

ด้าน พล.ต.อ.กิตติ์รัตน์ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ร้องกับ ป.ป.ช.ว่า ส่วนตัวเพิ่งทราบว่าจะมีการไปยื่นร้องกับสื่อมวลชน ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของท่าน ตอนนี้ตนทำหน้าที่รอง ผบ.ตร.แล้ว ไม่ได้รักษาการ โดยในกระบวนการพิจารณา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้ไปยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจแล้ว จากนี้ก็ต้องรอให้พิจารณา

ส่วนการวิพากษ์วิจารณ์ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัตน์กล่าวว่า มีนักกฎหมายออกมาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์แตกต่างกันออกไปก็รับฟัง แต่ตอนนี้มีแต่การออกมาบอกว่าสิ่งนั้นไม่ชอบ สิ่งนี้ไม่ถูกต้อง แต่มีท่านใดที่ได้ดูข้อเท็จจริงบ้างหรือไม่ เรากำลังคิดว่าคำสั่งนี้ไม่ถูกต้อง คำสั่งนี้ขัดกฎหมายหรือใช้กฎหมายเก่า แต่ต้องไม่ลืมว่า พ.ร.บ.ตำรวจฯ ออกปี 65  ส่วนตนปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคำสั่งอื่นที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นการนำกฎหมายปี 65 มาใช้ถือเป็นฐาน ก็ต้องพูดตรงๆ ว่ามีใครหยิบมาพิจารณาหรือไม่ ในเรื่องพฤติกรรมความร้ายแรงแห่งคดี มาประกอบกับข้อเท็จจริงกับกฎหมาย อยากให้ไปดูตรงนี้

เมื่อถามเรื่องจะถูกเช็กบิล พล.ต.อ.กิตติ์รัตน์ระบุว่า ไม่เคยคิดว่าจะถูกเช็กบิล เป็นสิทธิ์ของแต่ละท่านที่จะดำเนินการทั้งทางกฎหมายและทางวินัยกับตนได้อยู่แล้ว แต่ตนได้ถือปฏิบัติบนความสุจริตเป็นที่ตั้ง และทำเพื่อองค์กร ดังนั้นการทำเพื่อองค์กร เราก็ต้องดูเรื่องกฎหมายและข้อเท็จจริงระเบียบคำสั่งประกอบแล้ว ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นกับเราก็พร้อมรับ

ผู้สื่อข่าวถามว่า บางส่วนวิเคราะห์กันว่าเหมือนท่านตายเดี่ยวในรอบนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัตน์ถึงกับหัวเราะ และกล่าวยืนยันว่าเกิดมาก็ต้องตาย ทุกคนเกิดมาต้องตาย ไม่มีใครหลุดพ้นความตาย เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ดังนั้นเมื่อความตายมาเยือน เราก็ต้องพร้อมที่จะรับความตาย แต่เราอยู่ในพื้นฐานของความสุจริตใจ และความโปร่งใสปฏิบัติตามหลักนิติธรรมเพื่อองค์กร ดังนั้นก็พร้อมที่จะรับทุกสิ่งทุกอย่าง

สำหรับการประชุม ก.ตร.ในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ ซึ่งคาดว่าจะมีวาระของบิ๊กโจ๊กเข้าสู่ที่ประชุมด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัตน์ยอมรับว่ามีการประชุมและทราบวาระแล้ว แต่ขอไม่เปิดเผยเพราะเป็นเรื่องของการประชุม ส่วนที่ประชุมจะอภิปรายหรือมีความเห็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่กรรมการแต่ละคน

ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์เดินหน้าไล่ฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีว่า เราเป็นเจ้าหน้าที่ ทำงานตามพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง ไม่ได้รังแกใคร ส่วนใครจะฟ้องก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ได้สนใจ รู้เพียงแค่ว่าเราทำงานเพื่อประชาชน เป็นตำรวจอาชีพ ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ที่ประพฤติตัวไม่ดี ทุจริต สิ่งที่เราทำอยู่ก็เพื่อองค์กร

 “ยืนยันว่าไม่กังวล เป็นเรื่องปกติที่ผู้ต้องหาจะฟ้องเรา  ไม่ซีเรียส เพราะทุกอย่างทำตามพยานหลักฐาน หากถามว่ากังวลไหมที่มีกระแสข่าวว่าเขาจะกลับมารับตำแหน่ง ก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าไม่กังวล เราทำตามหน้าที่ดีที่สุดแล้ว และจะทำเช่นนี้ต่อไป” พล.ต.ต.จรูญเกียรติกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘ชาญ’นำ‘แจ๊ส’นายกอบจ.ปทุม

ลุ้นมันหยด ศึกเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี กกต.ปทุมฯ ตั้งเป้าผู้ออกมาใช้สิทธิ์ร้อยละ 70 ผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ "บิ๊กแจ๊ส" กับ "ลุงชาญ" คะแนนเบียดกันสูสี ก่อนที่ลุงชาญจะขึ้นนำในช่วงท้าย