สับงบนายพลกินหรู ฝ่ายค้านเย้ยสุทินหุ่นเชิด นิดท่องคาถา‘ดิจิทัล’กู้ศก.

“เศรษฐา” ยอมรับปมแจกเงินดิจิทัลยังเป็นข้อกังขาจะกระตุ้น ศก.อย่างไร ยันต้องบาลานซ์การลงทุน เมินครหาเจ๊งกับเจ๊งแค่วาทกรรมการเมือง ปธ.วิปฯ ปลื้ม "อุ๊งอิ๊ง" เป็นหัวหน้าทีมติว สส.รุ่นใหม่ ถกงบฯ วันที่สอง สส.ก.ก.เปิดตัวเลขเด็กไทยหลุดจากระบบการศึกษา 1.02  ล้านคน ส่อหลุดอีก 2.8 ล้าน "ไอติม" ขอเจียด 10% ของดิจิทัลวอลเล็ตเพิ่มทักษะการศึกษา  สส.ปชป.หยามรัฐหมดปัญญาปราบยาเสพติด  ชงเพิ่มงบ 10 เท่า "ทสท." แฉงบกองทัพเปิดช่องทุจริตให้ไอ้โม่งหาผลประโยชน์ "วิโรจน์" จวกยับ! จัดสรรงบเพื่อความกินหรูอยู่สบายของนายพล  ไม่คำนึงความมั่นคง-เพิ่มขีดความสามารถ ทำให้กองทัพอ่อนแอพร้อมแค่ทำรัฐประหาร เย้ย "สุทิน" หุ่นเชิดต่อจาก "ประยุทธ์"

ที่อาคารรัฐสภา เวลา 09.25 น. วันที่ 20 มิถุนายน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 เป็นวันที่สอง โดยนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการอภิปรายของฝ่ายค้านที่ดูเหมือนยังไม่มั่นใจเรื่องโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของรัฐบาลว่า ได้ชี้แจงครบแล้วในเรื่องของดิจิทัลวอลเล็ต แต่คิดว่าเป็นข้อกังขามากกว่าว่าดิจิทัลวอลเล็ตจะมาช่วยเศรษฐกิจอย่างไร ซึ่งเคยอธิบายไปแล้วหลายหน จะเป็นเงินใหม่เข้าไปในระบบประมาณ 5 แสนล้านบาท เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เพราะเราจำกัดให้ใช้ในพื้นที่ตามบัตรประชาชน ในระยะเวลาจำกัด 6 เดือน หากเราทราบวันที่แน่นอนที่เราจะมีการออกมา เชื่อว่าภาคอุตสาหกรรม เอสเอ็มอีทั้งหลายจะเร่งการผลิตเพื่อรองรับกำลังซื้อตรงนี้ที่จะเข้ามาก็จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองกันว่าเงินก้อนโตนี้จะไปเป็นภาระของรัฐบาลในอนาคต โดยเฉพาะหลังปี 2570 นายกฯ กล่าวว่า เราต้องบาลานซ์ระหว่างระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวด้วย การที่เรากระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นไปก่อนที่นโยบายอื่นๆ จะเริ่มออกมา ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติที่จะเข้ามา มีการจ้างงาน สร้างการผลิตด้วยการยกระดับอุตสาหกรรมไทยขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เมื่อเงินดิจิทัลวอลเล็ตมาช่วยแล้ว บวกกับการลงทุนจากต่างประเทศ ก็จะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โตขึ้น ซึ่งจะทำให้การใช้หนี้เกิดขึ้นได้

เมื่อถามว่า นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้สัมภาษณ์กับสํานักข่าวต่างประเทศ ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้  โดยมองว่าการเติบโตเศรษฐกิจยังขับเคลื่อนได้ ยังไม่จำเป็นต้องแจกเงินดิจิทัล นายกฯ กล่าวว่า ถือเป็นความเห็นต่างที่ต้องพูดคุยกันต่อไป

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ บอกว่าร่างงบประมาณอาจจะผ่านวาระ 1 แต่วาระ 3 ที่มีเวลาพิจารณา 105 วัน อาจมีการเปลี่ยนแปลง และอาจไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ นายกฯ กล่าวว่า ตามที่ตนบอกความกังวล เราต้องให้เกียรติทุกๆ คน โดยเฉพาะภาคนิติบัญญัติที่มีความไม่สบายใจ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะต้องตอบคำถามต่อไป ส่วนเรื่องจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ก็ต้องว่าไปตามกลไกตรงนั้น รัฐบาลก็มีหน้าที่ต้องตอบ

ส่วนความเป็นห่วงถึงเงินดิจิทัลที่จะใช้เงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และยังไม่ได้ถามกฤษฎีกา เกรงว่าจะไม่ทันวันที่ 1  ต.ค. นายกฯ กล่าวว่า เชื่อว่ากระทรวงการคลังมีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน และคงจะดำเนินการต่อไป

"ก็เป็นวาทกรรมที่เขาตอบโต้กันไป คำพูดอะไรที่มันรุนแรง อย่างที่บอกเจ๊งกับเจ๊งหรืออะไร ผมไม่อยากใช้คำพวกนี้ถ้าฝ่ายหนึ่งแรงมา และอีกฝ่ายแรงกลับไป มันก็เกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" นายเศรษฐากล่าวถึงการอภิปรายที่มีการปะทะกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลในคำว่าเจ๊งกับเจ๊ง ลามไปถึงคำว่ายุบพรรคด้วย

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ 68 วันแรก ว่าเป็นมิติใหม่ทางการเมือง ที่ไม่ค่อยมีการประท้วง มีบ้างนิดหน่อย ไม่รุนแรง บางคนบอกว่าเหงาไปหน่อย แต่คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นเนื้อหาสาระ ถือว่าภาพรวมเป็นไปด้วยดี ส่วนที่มีการใช้วาทกรรม 'เจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้' นั้น เป็นสีสันของระบอบประชาธิปไตย ถือเป็นการทิ้งบอมบ์นิดหน่อย เป็นเรื่องธรรมดา ไม่รุนแรง ถ้าจะให้ไม่ว่ากันเลยก็จะเงียบเหงาเกินไป แต่เป็นสารประโยชน์ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ของท่านได้เต็มที่ รัฐบาลก็พยายามชี้แจงตามอำนาจหน้าที่ ถือว่าเป็นประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย

เมื่อถามว่า มองอย่างไรในการย้อนของ พท.ที่แรงไม่แพ้กัน มีการพูดไปถึงการยุบพรรค นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ก็มีบ้างสาดน้ำใส่กัน นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย คงอยากจะคืนบ้าง แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ ส่วนที่พรรคก้าวไกลไม่พอใจที่นำประเด็นเรื่องการยุบพรรคมาพูด บางครั้งบางครั้งพรรคก้าวไกลก็ว่าแรงเกินไป ใส่มาตลอด โดนสวนกลับบ้างเป็นเรื่องธรรมดา การชกกันมีบาดเจ็บบ้าง แต่ไม่ถึงตาย แค่ถลอกนิดหน่อย

'อุ๊งอิ๊ง' หัวหน้าทีมติว สส.ใหม่

นายวิสุทธิ์กล่าวด้วยว่า การอภิปรายในครั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นหัวหน้าทีมวิชาการของพรรค ให้การสนับสนุนดีมาก เมื่อวาน น.ส.แพทองธารก็มาเยี่ยมให้กำลังใจในการทำงาน สส.ของ พท.รุ่นใหม่อภิปรายดีมาก หลายคนมีอนาคตไกล เป็นดาวสภาได้แน่นอน การที่มีหัวหน้าพรรคมาช่วยเสริมวิชาการ ทำให้ทุกคนได้ทำงานเต็มที่ ประชาชนชื่นชม

ขณะที่ น.ส.แพทองธาร โพสต์คลิปผ่านทางสตอรีของอินสตาแกรม เป็นภาพที่ น.ส.แพทองธารสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียว กำลังรับยาพ่นเพื่อขยายหลอดลม พร้อมระบุข้อความว่า “หลอดลมตีบ พาลูกมาฉีดยา แต่หมอเห็นแม่ บอกต้องฉีดด้วย” ขณะที่สตอรีอินสตาแกรมของ น.ส.แพทองธาร ยังคงมีการแชร์ข่าว ภาพและข้อความที่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 อย่างต่อเนื่อง

ด้านนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการมองว่าการอภิปรายงบฯ ดูเงียบเหงา ไม่ดุเดือดเหมือนที่ผ่านมาว่า คิดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึก แต่เน้นเป็นเรื่องของเนื้อหาสาระมากกว่า หลายคนได้บอกไปแล้วว่าหากไม่มีการปฏิรูปกระบวนการงบประมาณใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดขึ้นมาบริหารประเทศ ก็ยังมีความเสี่ยงที่หน้าตางบประมาณจะไม่เปลี่ยนไปจากเดิม อย่างที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค ก.ก. กล่าวไปแล้วว่าเหมือนรัฐบาลชุดนี้จะพุ่งเป้าไปที่นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียว ทั้งที่แถลงนโยบายไว้กับสภาถึง 142 ข้อ เราก็อยากเห็นการจัดสรรงบที่ให้ความสำคัญด้านอื่นด้วย

เมื่อถามว่า พอใจภาพรวมการอภิปรายของฝ่ายค้านหรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งหลายคนก็อภิปรายเนื้อหาสาระดี ประชาชนไม่ผิดหวังแน่นอน การอภิปรายของพรรค ก.ก. มีข้อมูลและข้อเท็จจริง ส่วนเรื่องที่มีการใช้วาทกรรมการเมืองเสียดสีหรือเหน็บแนม คิดว่ารัฐบาลต้องโฟกัสในตัวเนื้อหา ยอมรับว่าการอภิปรายมีสีสัน แต่เราไม่ได้เน้นวาทกรรมเป็นเนื้อหาหลัก จึงอยากให้รัฐบาลตั้งใจฟังสาระ แล้วไปปรับปรุงกระบวนการทำงานของตัวเอง

ในเวลา 09.45 น. ในการประชุมสภาฯ ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 2 เป็นประธานในที่ประชุม มีวาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จำนวน 3.75 ล้านล้านบาท ในวาระรับหลักการ เป็นวันที่สอง โดยนายปารมี ไวจงเจริญ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายประเด็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งข้อมูลจากกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า ปัจจุบันมีเด็กหลุดออกนอกระบบ 1.02 ล้านคน เท่ากับเด็กไทย 100 คน หลุดออกนอกระบบ 8 คน ความยากจนคือสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กหลุดออกนอกระบบ เรายังมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าระบบการศึกษาอย่างมาก เด็กยากจนคือเด็กที่หลุดออกนอกระบบเป็นกลุ่มแรก กว่าครึ่งของเด็กกลุ่มนี้ต้องการทำงานมากกว่าเรียนหนังสือ รัฐบาลต้องห้ามเลือดไม่ให้ไหลมากกว่านี้ แต่มีแนวโน้มกำลังจะหลุด 2.8 ล้านคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความยากจนรุนแรงที่สุดในประเทศ

ตัดงบ กยศ.เด็กหลุดนอกระบบ

นายปารมีกล่าวต่อว่า ในงบ 68 กสศ.ของบ 7,800 ล้านบาท แต่รัฐบาลให้เพียง 6,900 ล้านบาท หากเราต้องการช่วยเด็กกลุ่มนี้ กสศ.ต้องได้รับงบประมาณมากกว่านี้ ในระดับอุดมศึกษา เด็กกลุ่มยากจนรุนแรงสามารถเรียนต่อระดับอุดมศึกษาได้เพียง 12.4% เพราะค่าใช้จ่ายในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระบบ TCAS ในปัจจุบันสูงมากหลักหลายพันบาท เด็กที่มีฐานะดีจะสอบกี่วิชาก็ได้ แต่เป็นการผลักเด็กที่มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสด้านการเงิน เด็กบางคนแม้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แต่ก็ไม่มีเงินเรียน

"ขณะนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กำลังมีปัญหาใหญ่ ขาดสภาพคล่องหนักมาก โดยกลับมาขอรับงบประมาณในรอบหลายสิบปี ซึ่งงบประมาณรายจ่ายของปี 67 ขอมา 1.9 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลให้ได้แค่ 800 ล้านบาท ส่วนงบฯ 68 ขอ 5,000 ล้านบาท แต่ตอนนี้รัฐบาลไม่ให้แม้แต่บาทเดียว และอาจจำเป็นต้องตัดเงินกู้ยืมที่จะให้เด็กในปีการศึกษานี้ หรือหากยังมีปัญหาอาจต้องตัดเงินที่ให้เด็กไปแล้ว ซึ่งอาจทำให้ไม่มีเงินเรียนต่อ ดังนั้นขอเสนอการจัดสรรงบประมาณเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ต้องเร่งช่วยเหลือเด็กที่หลุดออกนอกระบบ ต้องไม่จัดงบแบบการอุดหนุนรายหัว การศึกษาขั้นพื้นฐานต้องฟรีจริง ปฏิรูปหลักสูตร และสร้างการศึกษาแบบไร้รอยต่อ อุดหนุนค่าใช้จ่ายในการเข้ามหาวิทยาลัยในระบบ TCAS" นายปารมีกล่าว     

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง ชี้แจงว่า กองทุนของบประมาณครั้งแรกในรอบหลายปี เพราะมีการปรับแก้ไขกฎหมาย กยศ. ปรับโครงสร้าง ฉะนั้นเวลานี้จึงเหมือนเป็นช่วงปรับตัวให้เข้ากับ พ.ร.บ.ใหม่ ซึ่งกองทนุของบมาทั้งสิ้น 1.9 หมื่นล้านบาท แต่เราจัดสรรให้ 800 ล้านบาท ซึ่งดูแล้วว่าบริหารจัดการได้ภายใต้กรอบเงินที่คงเหลือในกองทุน รวมถึงเงินที่ได้รับการชำระจากลูกหนี้ ยังสามารถจัดการบริหารเงินได้ในกรอบที่จะรับเงินเพิ่มเติม 800 ล้านบาท แต่ถ้าไม่พอก็มีกลไกรองรับอื่นๆ เช่น งบกลาง ยืนยันว่าจะไม่มีนักเรียนนักศึกษาหลุดจากระบบการศึกษา เพราะไม่สามารถกู้ยืม กยศ.ได้ และเรายังตั้งเป้าการกู้ยืมที่ 6.2 แสนราย แบ่งเป็นนักเรียนเก่า 75 เปอร์เซ็นต์ และนักเรียนใหม่ 25 เปอร์เซ็นต์

 “การแก้ไข พ.ร.บ.กยศ. เป็นการแก้เบี้ยปรับจาก 18 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ไม่ให้มีคนค้ำประกัน และกฎหมายมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันแรกจนชำระคืนวันสุดท้าย ภายหลังจากที่ได้คำนวณใหม่แล้ว กยศ.ยังค้างเงินให้กับลูกหนี้หลายราย รวมเป็นเงินพันล้านบาท เพราะเมื่อคำนวณแล้วเขาจ่ายเกินมาก แต่ทั้งหมดอยู่ในกรอบบริหารทางการเงินที่สามารถจัดการได้” รมช.การคลังกล่าว

จากนั้น เวลา 11.10 น. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า การที่จะรู้ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องอะไรให้ดูที่การลงทุนให้งบประมาณนั้นๆ ในการพัฒนาเท่าที่ดูในงบโครงการ 5,631 โครงการในงบปี 2568 นั้น ค้นพบว่ารัฐบาลจัดสรรงบสำหรับการศึกษาเรียนรู้ การยกระดับทักษะช่วงวัยอยู่ที่ 510,000 ล้านบาท กระจายไป 14 กระทรวง และช่วงวัยคือตั้งแต่เราเกิดจนเราแก่ การศึกษาเราจะตัดเสื้อให้เข้ากับเด็กแต่ละคนที่มีความชอบ ความถนัดไม่เหมือนกันไม่ได้เลย หากเราอยากจัดงบการเรียนรู้ให้ตอบโจทย์เราปรับเล็กไม่ได้ต้องเปลี่ยนใหญ่ ตนเรียกว่าตัวเปลี่ยนเกมทั้ง 3 ตัว คือ

ตัวเปลี่ยนเกมที่ 1 อัดฉีดงบนี้ให้ท้องถิ่นดูแลเด็ก 1,000 วันแรก เข้าใจว่าจะให้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก รับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบนั้นก็เป็นไปได้ยาก แต่จะดีไหมถ้าให้ท้องถิ่นมาดูแลตรงนี้ ด้วยการปลดล็อกและสนับสนุนงบให้ท้องถิ่นสามารถมารับภารกิจดูแลเด็กในช่วง 1,000 วันแรกได้ ตัวเปลี่ยนเกมที่ 2 ในวัยเรียน คือการระเบิดงบประมาณการศึกษาขั้นพื้นฐานกระจายให้โรงเรียน ครู นักเรียน ควรเปลี่ยนวิธีการส่งงบไปที่โรงเรียนที่จากปัจจุบันที่แบ่งเป็น 5 ก้อน แยกออกจากกัน เป็นการส่งเป็นก้อนเดียวไม่ต้องกำหนดวัตถุประสงค์ เพื่อให้โรงเรียนไปตัดสินใจเองว่าจะบริหารจัดการอย่างไร ส่วนเปลี่ยนเกมที่ 3 ลงทุนในเมกะโปรเจกต์ เพิ่มทักษะโดยการเพิ่มจากปัจจุบันเป็น 5 หมื่นล้านบาท ต้องเปลี่ยนวิธีการลงทุนจากเบี้ยหัวแตก เป็นการลงทุนแบบบาซูก้า รวมทรัพยากรอัดฉีดและดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาทำงานด้วยกัน

ไม่มีปัญญาปราบยาเสพติด

"รัฐสามารถทำได้ และถ้าท่านกังวลว่าเราจะหางบบประมาณมาจากไหน ผมได้ยินว่าปีนี้มีโครงการที่น่าจะใช้งบประมาณมากกว่าที่ผมพูดถึง 10 เท่า ด้วยเหตุผลที่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะหน้า ถ้าจะขอใช้งบประมาณ 10% ของมูลค่าโครงการนั้น เพื่อมาใช้ในการยกระดับทักษะของคนทุกช่วงวัย หวังว่าจะไม่เป็นการขอที่มากจนเกินไป งบปี 68 สะท้อนเห็นชัดว่ารัฐบาลเศรษฐายังคงเลือกที่จะลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนน อาคาร ในขณะที่มีสิ่งที่เพิ่มในปีนี้แปลกปลอมจากปีก่อนๆ คือการลงทุนแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต แต่ปัญหาเหมือนเดิม คือการลงทุนในการยกระดับทักษะของคนในประเทศ” นายพริษฐ์กล่าว

เวลา 11.50 น. นายราชิต สุดพุ่ม สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายถึงงบประมาณการแก้ปัญหายาเสพติดว่า เมื่อดูร่างงบประมาณปี 68 ยังคงแก้ปัญหายาเสพติดไม่ได้ จึงมีข้อเสนอว่า ควรแก้ปัญหาด้วยวาระเร่งด่วนแห่งชาติ ไม่ใช่ทำแบบงบประมาณปกติไปวันๆ รัฐบาลควรกำหนดระยะเวลา หน่วยงานที่รับผิดชอบ ตัวชี้วัด และเป้าหมายให้ชัดเจน และงบประมาณควรจะเพิ่มขึ้น 10% ไม่ก็ 10 เท่า จากงบประมาณที่ตั้งไว้ 5,048 ล้านบาท ควรจะเป็น 5 หมื่นล้านบาท

นายราชิตกล่าวว่า ขอเสนอวิธีการบำบัดผู้ติดยาเสพติด โดยควรเพิ่มงบประมาณสถานที่บำบัดให้มาก และให้ทุกจังหวัดมีสถานที่บำบัดอย่างน้อย 5 อำเภอต่อ 1 ที่ ให้ส่งเสริมและจูงใจภาคเอกชน เข้ามาทำศูนย์บำบัดยาเสพติด เพราะต้องยอมรับว่ารัฐบาลหมดปัญญา หน่วยงานรัฐไม่สามารถทำได้ ให้รัฐบาลอุดหนุนค่าบำบัดรักษา 50% ให้กับผู้ปกครอง เพราะเยาวชนที่เสพยา ส่วนใหญ่เป็นลูกของชนชั้นกลางและชนชั้นรากหญ้า ให้การแก้ปัญหายาเสพติดอยู่ในยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของมนุษย์ เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเยาวชนที่ดี จึงขอฝากไปยังนายกฯ ที่เคยประกาศว่าจะแก้ปัญหายาเสพติดภายใน 1 ปี วันนี้เหลือเวลาอีกแค่ 3 เดือนก็จะครบ ยังไม่มีอะไรเลย

"การตั้งงบประมาณเรื่องยาเสพติดไม่ประสบผลสำเร็จแน่นอน ทำให้คาดว่าการแก้ปัญหาอื่นๆ ก็คงทำไม่ได้ จึงไม่สามารถรับงบประมาณฉบับนี้ได้" นายราชิตกล่าวทิ้งท้าย

เวลา 16.40 น. นายชัชวาล แพทยาไทย สส.ร้อยเอ็ด พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) อภิปรายว่า ตั้งข้อสังเกตงบรายจ่ายปี 2568 ไว้ 3 ข้อคือ 1.ตั้งงบประมาณสูงเกินจริง ยกตัวอย่างงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ที่ตนเป็นอนุกรรมาธิการด้านความมั่นคง พบว่าการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ กองทัพจะของบประมาณในกรอบกว้างๆ ไม่ลงรายละเอียดจะจัดซื้ออะไร อ้างเป็นความลับความมั่นคง เปิดช่องทุจริต มีไอ้โม่งแสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง เช่น โครงการกองทัพอากาศเขียนหลักการกว้างๆ เป็นโครงการเพิ่มสมรรถนะกองทัพ แต่ไม่บอกรายละเอียดจัดซื้อ ภายหลังอนุมัติงบให้แล้ว ไปซื้อวิทยุสื่อสาร 40 ตัว เสนอราคากลาง 38 ล้านบาท ทั้งที่ราคาตลาดอยู่ที่ 15 ล้านบาท มีส่วนต่างถึง 23 ล้านบาท 

"เรื่องนี้คณะกรรมการจัดซื้อกลัวติดคุก จึงส่งเรื่องมาให้ตนดู เกรงจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้เช่นนี้เกิดขึ้นในงบ ปี 68 จึงขอให้กองทัพเขียนทีโออาร์โครงการต่างๆ ให้ชัด ไม่มาสอดไส้ภายหลัง"

จัดงบเพื่อนายพลกินหรูอยู่สบาย

นายชัชวาลกล่าวต่อว่า 2.การตั้งงบประมาณไม่เหมาะสมสภาพปัญหาประเทศ เช่น ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเสียหายให้คนไทยนับหมื่นล้านบาท แต่งบปี 68 ให้งบแก้ปัญหาน้อยนิด 3.รัฐบาลไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับสภา ที่ผ่านมานายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม สั่งการกองทัพใช้ยุทธภัณฑ์ที่บริษัทคนไทยผลิต แต่ในทางปฏิบัติกองทัพไม่ให้ความร่วมมือทำตามนโยบาย รมว.กลาโหม แม้กระทั่งการเปิดโอกาสให้บริษัทคนไทยร่วมแข่งขันอย่างเป็นธรรมก็ไม่มี ไม่รู้กองทัพไม่ให้ความร่วมมือ หรือ รมว.กลาโหมสั่งการไม่ได้ ทั้งที่เป็นสัญญาที่รัฐบาลให้ไว้ต่อสภา แต่หน่วยงานไม่ทำตามสัญญา กองทัพไม่ให้ความสำคัญ รมว.กลาโหม เป็นการพิสูจน์นายสุทินคือของจริงหรือไม่

ต่อมา เวลา 18.08 น. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลในด้านความมั่นคง และประสิทธิภาพการเบิกจ่ายงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ที่สะท้อนถึงการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ ซึ่งจะพบว่ากระทรวงกลาโหมมีอัตราการเบิกรายจ่ายลงทุนต่ำอย่างน่าเป็นห่วง สะท้อนถึงอาการของ "โรคไม่ตั้งใจส่งเสริมความมั่นคงของประเทศให้สอดรับกับบริบทของภัยคุกคามที่้เปลี่ยนแปลงไปของโลกใบนี้"

นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า ปัญหาลักษณะนี้ไม่ได้เพิ่งเกิด ตนเคยอภิปรายเรื่องนี้ร่วมกับนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ที่ในตอนนั้นเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งปัญหานี้ย้อนไปตั้งแต่งบประมาณของกระทรวงกลาโหมในปี 2566  อุปสรรคสำคัญที่ทำให้กระทรวงกลาโหมขาดงบมาพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ คืองบบุคลากรที่มีสัดส่วนสูงมาก แม้ในภาพรวมจะลดลงแล้ว แต่ไม่ได้เกิดจากการปรับปรุงโครงสร้างภายในของกระทรวงเลย โดยงบบุคลากรลดลงเพียง 2.5 พันล้านบาท คิดเป็น 2.31% ขณะที่ภาพรวมทั้งกระทรวงได้งบประมาณเพิ่มขึ้น 2.6 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.31% ท้ายสุดแล้วกระทรวงกลาโหมลดงบประมาณไปได้เพียง 34 ล้านบาท เป็นการลดแบบพอเป็นพิธี เพราะกลัวฝ่ายค้านด่า

 “จริงๆ ผมแอบภูมิใจนะ ที่ผมเป็นประธานคณะกรรมาธิการการทหารที่สามารถสร้างความหวาดกลัวให้ รมว.กลาโหมได้ถึงเพียงนี้ มือผมนี่สั่นเลยครับ รอรับพวงมาลัยจากท่านเลย ผมอยากบอกท่านรัฐมนตรีด้วยว่า คราวหลังเอาพวงมาลัยมาแลกกับวิโรจน์ อย่าเอาไปให้กับคนที่เขาไม่อยากรับเลย”

นายวิโรจน์อภิปรายต่อว่า โครงการ Early Retire ก็ไม่ปรากฏในงบปี 2568 และการลดจำนวนนายพลลงครึ่งหนึ่ง ก็เป็นไปอย่างต้วมเตี้ยม กว่าจะครบตามเป้าหมายคือเหลือ 284 นาย ก็ต้องรอถึงปี 2571 และถ้าไม่คิดควบรวมหน่วยงานที่ซับซ้อนในกระทรวงกลาโหม นายพลอีก 965 นาย ก็จะดำรงอยู่ต่อไป ขณะที่งบประมาณซ่อมบำรุงของกองทัพบก พบว่าในการจัดหาสิ่งอุปกรณ์และชิ้นส่วนซ่อมคงคลัง หรือเงินซื้ออะไหล่ กลับลดลง 580 ล้านบาทจากงบปี 2567 จึงเชื่อได้ว่ายานเกราะจำนวนมากที่นอนรออะไหล่นานแรมปี ก็ยังต้องรอต่อไป เมื่อนำงบซ่อมยานเกราะล้อยาง งบการจ้างซ่อมของกองทัพบก มารวมกัน 195 ล้านบาท แล้วเทียบกับงบประมาณประจำตำแหน่งของนายพล 550 ล้านบาทต่อปี

"สะท้อนถึงการจัดสรรงบประมาณเพื่อความกินหรูอยู่สบายของบรรดานายพล ที่ไม่คำนึงถึงการปฏิบัติงานของทหาร มากกว่าการจัดสรรงบประมาณเพื่อความมั่นคง"

เย้ย 'สุทิน' หุ่นเชิด 'ประยุทธ์'

สส.ก้าวไกลอภิปรายอีกว่า สำหรับงบประมาณในการฝึกศึกษาทางการทหาร มารวมกับงบในการเตรียมกำลังพลป้องกันประเทศ เป็น 2,747 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากงบปี 2567 มา 582 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพราะอะไร เพราะเกี่ยวข้องกับการฝึกการปฏิบัติภารกิจร่วมกับเทคโนโลยีป้องกันประเทศ มีงบเกี่ยวกับโดรนหรือแอนตี้โดรนหรือไม่ หากไม่มี จะเพิ่มได้อย่างไร ในเมื่อยอดการเกณฑ์ทหารลดลง ยอดบุคลากรก็ลดลงเช่นกัน

 “กองทัพจะไม่มีพื้นที่ทางการคลัง ไม่มีงบประมาณที่เพียงพอต่อการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ ไม่มีงบลงทุนในเทคโนโลยีป้องกันประเทศ จะทำให้กองทัพอ่อนแอในระยะยาว มีเพียงความพร้อมในการก่อการรัฐประหาร และประหัตประหารชีวิตประชาชนเท่านั้นเอง”

นายวิโรจน์ยังชี้ให้เห็นถึงงบค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนการส่งกำลัง การซ่อมบำรุง และผลิตเพื่อแจกจ่ายของกองทัพบก ที่เพิ่มขึ้นมากว่าพันล้านบาท งบส่วนนี้ถูกตั้งข้อสังเกตมาทุกปีว่ามีอัตราการเบิกจ่ายที่ต่ำ และมักถูกเปลี่ยนแปลงไปใช้ซื้ออาวุธประเภทอื่น ฝากให้กรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณ 2568 ต้องสอดส่องงบประมาณส่วนนี้อย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยให้กองทัพบกตั้งงบนี้เพิ่มพันกว่าล้าน แล้วมาขอเปลี่ยนแปลงงบประมาณภายหลัง โดยที่สภาผู้แทนราษฎรได้แต่มองตาปริบๆ และ รมว.กลาโหมก็ได้แต่มองตาปริบๆ ด้วย

 “เพราะในระเบียบนี้ข้อที่ 17 เขียนไว้งามไส้ที่สุด ว่าเมื่อกองทัพตกลงกับสำนักงบประมาณแล้ว ให้รายงานให้รัฐมนตรีทราบภายใน 45 วัน เท่ากับระเบียบนี้อนุญาตให้กองทัพงุบงิบซุบซิบกับสำนักงบฯ เปลี่ยนแปลงงบประมาณเลย แล้วมาแจ้งรัฐมนตรีภายหลัง ทำเหมือนรัฐมนตรีเป็นแค่โฆษกกองทัพบก ผู้ที่ลงนามในระเบียบนี้ก็ รมว.กลาโหมคนก่อน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมก็หวังว่ารัฐมนตรีคนปัจจุบันที่ชื่อ สุทิน คลังแสง จะกล้าแก้ไขระเบียบนี้ เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเป็นหัวหลักหัวตอ” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์ยังเน้นย้ำว่า ถึงเวลาที่รัฐมนตรีต้องเลิกขอ แต่ต้องสั่งการ และกำชับด้วย เพราะที่ผ่านมาเคยสั่งการไปแล้วว่าไม่ให้หักค่าสูบส้วม เพียงแต่ผู้บังคับกองพันยังไม่ปฏิบัติตามเลย และเรียกร้องให้แผนการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน ระยะที่ 1 ของกองทัพอากาศ วงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเข้าใจว่ามีความจำเป็น แต่ต้องคำนึงถึงนโยบายชดเชยที่ให้ประชาชนพลเรือนได้ประโยชน์ร่วมด้วย คือการถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการทหาร ที่กองทัพอากาศควรต้องได้รับลิขสิทธิ์ทางปัญญาส่วนหนึ่ง

"ประชาชนควรจะคาดหวังกับ รมว.กลาโหม ว่าจะสามารถเปลี่ยนผ่านให้กองทัพอยู่ภายใต้พลเรือน แต่ที่ผ่านมางบประมาณไม่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญได้เลย รัฐมนตรีพลเรือนกลับเป็นเพียงหุ่นเชิด เป็นโฆษกคอยแก้ต่างให้กองทัพ ดำเนินนโยบาย ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ ของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อาจจะทำได้ดีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ทำเองด้วยซ้ำ น่าผิดหวังมากที่คุณสุทินไม่สามารถโอบรับความหวังของประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมืองได้เลย” นายวิโรจน์กล่าวทิ้งท้าย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เศรษฐา' ชวนคนไทยเชียร์ตัวแทนทีมชาติไทยในโอลิมปิกปารีส 2024

นายกฯ ส่งกำลังใจเชียร์ทัพนักกีฬาตัวแทนประเทศไทยร่วมแข่งขันโอลิมปิก ปารีส 2024 ครั้งที่ 33 วันที่ 26 กรกฎาคม - 11 สิงหาคม 2567 นี้ เชิญชวนคนไทยร่วมเชียร์และรับชมถ่ายทอดสด