ปปช.ฟันทุจริต คนสกุลชิดชอบ อดีตผบ.เรือนจำ

ป.ป.ช.ชี้มูลอาญา-วินัย “สุทิน ชิดชอบ” ผบ.เรือนจำประจวบฯ กับพวก จัดตั้งกลุ่มแม่บ้านนำอาหาร-เครื่องดื่มไปจำหน่ายในเรือนจำ พร้อมฟัน “นายก อบต.บึงนคร” ใช้นอมินีรับงานเข้ากระเป๋าตัวเอง

เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. น.ส.จุฑารัตน์ เหลืองเพิ่มสกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่า ระหว่างเดือน ก.ค.57 ถึงวันที่ 29 ก.ย.58 นายสุทิน ชิดชอบ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้มีคำสั่งตั้งชมรมแม่บ้านราชทัณฑ์เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขึ้น ทั้งที่ในช่วงเวลาดังกล่าวยังไม่มีการออกระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดตั้งชมรมแม่บ้านราชทัณฑ์เรือนจำ และอนุญาตให้ชมรมแม่บ้านราชทัณฑ์เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ผลิตสินค้าเพื่อนำไปฝากขายในร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขัง โดยไม่มีการกำหนดจำนวนของสินค้า และไม่มีกฎหมายรองรับให้สามารถกระทำได้ และไม่มีการหักส่วนลดไม่เกินร้อยละ 8 ของสินค้าที่จำหน่ายเข้าเป็นรายได้ของร้านค้าสงเคราะห์ผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นเงินรายได้ของทางราชการชมรมแม่บ้านราชทัณฑ์เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 เป็นผู้บริหารจัดการเงินรายรับรายจ่ายทั้งหมดเพียงคนเดียว ไม่เคยมีการแบ่งปันผลกำไรให้กับผู้ที่ปรากฏชื่อในชมรมแม่บ้านราชทัณฑ์เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รวมทั้งผู้มีชื่อเข้าร่วมในชมรมแม่บ้านราชทัณฑ์เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ก็ไม่ทราบเกี่ยวกับรายจ่ายหรือผลประกอบกิจการของชมรมฯ แต่อย่างใด จึงเป็นการดำเนินการของผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 เอง โดยอ้างชื่อชมรมแม่บ้านราชทัณฑ์เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และนำเงินได้จากการจำหน่ายสินค้าไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว

น.ส.จุฑารัตน์กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วมีมติเห็นว่า การกระทำของนายสุทิน ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 152 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 91 มาตรา 172 พ.ร.บ.ป.ป.ช. ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2561 ส่วนการกระทำของนางศิริพร อริยสัจธรรม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 น.ส.ศานิตตรา พิมพ์นวลศรี ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 จากการไต่สวนเบื้องต้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดทางอาญาตามที่กล่าวหา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป แต่มีมูลเป็นความผิดทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง

น.ส.จุฑารัตน์กล่าวต่อว่า กระทำของน.ส.ปวีณา ศานต์ฤทัยกุล ผู้ถูกกล่าวหาที่ 5 มีมูลความผิดทางอาญา ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์นั้น  สำหรับนายสาครินทร์ เชื้อนาม ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนน 5 เสียง เห็นว่าจากการไต่สวนเบื้องต้น ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่า ได้กระทำความผิดทางอาญา ข้อกล่าวหาทางอาญาไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไป  แต่การที่นายสาครินทร์มีฐานะเป็นผู้จัดการร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขังเรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีหน้าที่บริหารจัดการร้านดังกล่าว รวมถึงการเบิกจ่ายเงินร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขัง ทั้งยังเป็นผู้ดูแลรายได้จาการจำหน่ายสินค้า ไม่ดำเนินการหักส่วนลดสินค้าของ น.ส.ปวีณา ไม่เกินร้อยละ 8 ของสินค้าที่จำหน่ายได้เข้าเป็นเงินรายได้ของทางราชการ จึงมีมูลความผิดทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง

 “ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายสุทิน และน.ส.ปวีณา และส่งรายงานสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อดำเนินการทางวินัยกับนายสุทิน นางศิริพร นายสาครินทร์  และ น.ส.ศานิตตรา ตามฐานความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 91 (1) และ (2) และมาตรา 98 แล้วแต่กรณีต่อไป และให้แจ้งเรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย”

นอกจากนี้ น.ส.จุฑารัตน์ยังเปิดเผยว่า  คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์ 6 เสียง ชี้มูลความผิดทางอาญานายศึกฤทธิ์  หรือเสริม เต็มฟอม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนคร อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กับพวก เข้าไปมีส่วนได้เสียในโครงการจัดจ้างขององค์การบริหารส่วนตำบลบึงนครโดยมิชอบ ซึ่งจากการไต่สวนปรากฏข้อเท็จจริงว่าตั้งแต่ปี 57 จนถึงปี 59 นายศึกฤทธิ์ได้อนุมัติและตกลงจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด บึงนคร เอ็นจิเนียริ่ง 2013 เพื่อเข้าดำเนินการโครงการขององค์การบริหารส่วนตำบลบึงนคร จำนวน 7 โครงการ โดยหุ้นส่วนของห้างหุ้นส่วนจำกัด ไม่ใช่ผู้ดำเนินการกิจการของห้างหุ้นส่วนจำกัด บึงนคร เอ็นจิเนียริ่ง 2013 ที่แท้จริง แต่เป็นนายศึกฤทธิ์ ใช้ชื่อบุคคลอื่น ในการจดทะเบียนจัดตั้ง และเป็นผู้ถือหุ้นของห้างหุ้นส่วนจำกัด บึงนคร เอ็นจิเนียริ่ง 2013 แทน (นอมินี) และนำห้างหุ้นส่วนจำกัด บึงนคร เอ็นจิเนียริ่ง 2013 เข้ามาเป็นคู่สัญญากับองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนคร โดยนายศึกฤทธิ์เป็นผู้เข้าดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าวตามสัญญาจ้างเองทั้งหมด รวมทั้งได้รับผลประโยชน์เป็นค่าจ้างทั้งหมดของโครงการ

น.ส.จุฑารัตน์กล่าวว่า การกระทำของนายศึกฤทธิ์ ผู้ถูกล่าวหาที่ 1 มีมูลความผิดทางอาญา การกระทำของ น.ส.กิริยา รามจุล ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ไม่ปรากฏว่ามีพยานหลักฐานอื่นใดที่แสดงให้เห็นว่า น.ส.กิริยามีพฤติการณ์เข้าไปมีส่วนร่วมตามข้อกล่าวหา ให้ข้อกล่าวหาตกไป การกระทำของนางสำลี งามขำ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 มีมูลความผิดทางอาญา ขณะที่ น.ส.กาญจนา ทองฉาย ผู้ถูกกล่าวหาที่ 4 ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ได้ถึงแก่ความตายแล้ว สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ทั้งนี้ ให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน สำเนาอิเล็กทรอนิกส์ และคำวินิจฉัยไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับนายศึกฤทธิ์ และนางสำลี และส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐาน และคำวินิจฉัยไปยังผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินการทางวินัยกับนายศึกฤทธิ์ ตามฐานความผิดดังกล่าว และให้แจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทราบ นอกจากนี้ ให้แจ้งองค์การบริหารส่วนตำบลบึงนครดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหาย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง