“ตระกูล” อดีต อสส.ยันด้วยเกียรติลูกผู้ชาย ฟ้องคดีทักษิณไม่ได้ถูกชักจูงหรือข่มขู่ รองโฆษกฯ ยันหนังสือขอความเป็นธรรม “แม้ว” ถึงมือ “อำนาจ” แล้ว แจงหากมีหลักฐานใหม่อาจชะลอได้ แต่แค่ปัดก็เดินหน้าต่อ “สุทิน” ป้องกองทัพไม่มีเอี่ยวคดี รมต.เพื่อไทยพาเหรดรูดซิปปากวิจารณ์คนบ้านป่า “เศรษฐา” รีบปัดเรื่องหุ้นตก อ้างเป็นเรื่องส่วนบุคคล “ภูมิธรรม” ฉุนยกตลาดหุ้นยุคลุงตู่เทียบ “ชัยธวัช” ยังมั่นใจพรรคมีโอกาสชนะคดียุบพรรค
เมื่อวันอังคารที่ 11 มิถุนายน 2567 ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีสถานะเป็นนักโทษชายเด็ดขาดที่อยู่ระหว่างพักโทษ โดยนายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงหลังนายทักษิณให้สัมภาษณ์ว่าคดีนี้มีการข่มขู่และยัดข้อหาว่า “ขอยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชายว่า ในฐานะเป็น อสส.ในขณะนั้น ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีอาญานอกราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 20 ไม่เคยมีใครสั่ง ข่มขู่ โน้มน้าว ชักจูง ให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการสอบสวนครับ”
นอกจากนี้ นายตระกูลยังโพสต์ตอบคอมเมนต์ภายหลังโพสต์ข้อความว่า “ท่าน อสส.พงษ์นิวัฒน์เป็นคนสั่งฟ้องหลังจากที่ผมเป็นคนสั่งให้มีการสอบสวนดำเนินคดีนี้ครับ”
ด้านนายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ อัยการประจำจังหวัดสำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า ตามหลักการทั่วไป ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แม้ถูกอัยการสั่งฟ้องแล้วก็ตาม ยังสามารถยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมได้อีก ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบ อสส.ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาข้อใดห้ามไว้ โดยจะขึ้นอยู่กับเนื้อหา และพนักงานอัยการจะเป็นผู้พิจารณา หากเป็นการยื่นพยานหลักฐานใหม่ที่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้กระทำผิด พนักงานอัยการก็อาจพิจารณาชะลอการสั่งฟ้องออกไปแล้ว ทำการสอบสวนใหม่ แต่ถ้าหนังสือร้องขอความเป็นธรรมมีเนื้อหาแค่การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด หรือให้พิจารณาหลักฐานพยานเก่าที่เคยสอบสวนมาแล้ว ยื่นเพื่อประวิงเวลาคดี พนักงานอัยการก็มีอำนาจสั่งยุติการยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมได้ และผู้ต้องหาก็ต้องเข้าสู่กระบวนการสั่งฟ้องของศาลต่อไปตามกำหนด
นายนาเคนทร์ยังกล่าวต่อว่า สำหรับหนังสือร้องขอความเป็นธรรมฉบับล่าสุดของนายทักษิณนั้น ทางนายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อสส. จะเป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่งต่อไป
ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีนายทักษิณเตรียมร้องขอความเป็นธรรมต่อ อสส.ในคดีนี้ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ยธ. ต้องสอบถามไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะเป็นส่วนของกระบวนการยุติธรรม และยืนยันว่า ยธ.ไม่มีอำนาจเข้าไปพิจารณา เป็นอำนาจของ อสส.ในการตัดสิน
“ในกระบวนการยุติธรรมคดีทางอาญาจะเปิดโอกาสให้ทุกฝ่าย ทั้งผู้ถูกกล่าวหาและผู้กล่าวหาสามารถยื่นขอความเป็นธรรมได้ตลอด ไม่มีการห้ามในขั้นตอนใด แต่อำนาจการพิจารณาเป็นของ อสส.” พ.ต.อ.ทวีระบุ
เมื่อถามว่า ลักษณะเช่นนี้ต้องการเปลี่ยนผู้ทำคดีหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียด แต่จากที่ฟังโฆษกสำนักงาน อสส.ว่ายังไม่ได้รับเรื่อง จึงยังไม่เห็นรายละเอียด จึงไม่อยากตอบคำถามสมมติ เพราะอาจสับสน ซึ่งที่ผ่านมาการร้องขอความเป็นธรรมกับ อสส.มีทุกคดี แต่ก็ไม่ได้เป็นข่าว
เมื่อถามว่า ข้ออ้างที่ว่า คสช.ข่มขู่พนักงานสอบสวนฟังขึ้นหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า หลักใหญ่เรื่องการสอบสวนชอบหรือไม่ชอบนั้น เป็นหลักสำคัญของคดีอาญา เช่น พนักงานสอบสวนมีอำนาจหรือไม่ หรือพนักงานสอบสวนสอบสวนโดยชอบหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานสอบสวนหรือพยาน หรือส่วนอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้เกิดการบังคับขู่เข็ญ หรือการกระทำใดๆ เพื่อจูงใจเป็นประเด็นสามารถร้องขอความเป็นธรรมได้
เมื่อถามว่า คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจรับเป็นเจ้าภาพในการแจ้งความดำเนินคดีในขณะนั้น พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า อำนาจการสอบสวนมีแค่พนักงานสอบสวน ทหารไม่ใช่พนักงานสอบสวน และถ้าเป็นคดีพิเศษก็จะเป็นอำนาจของกรมคดีสอบสวนพิเศษ (ดีเอสไอ) ถือเป็นขั้นตอนตามปกติ
ถามว่า ยืนยันว่า คสช.ใช้ช่องทางตามปกติในการดำเนินคดีกับนายทักษิณใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า กระบวนการสอบสวนจะเป็นตำรวจหรือดีเอสไอ หรือคนอื่นไม่มีอำนาจสอบสวน เว้นแต่เป็นเรื่องเฉพาะ การปรับ เรื่องการสอบสวนของ ก.ตร. ก็สามารถดำเนินการได้
ป้องกองทัพไม่เกี่ยว
เมื่อถามว่า ในสมัยนั้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ยื่นฟ้อง ถือว่าชอบด้วยกฎหมายใช่หรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า สรุปไม่ได้ ต้องไปดูว่าเขาจะไปต่อสู้ว่าการสอบสวนมีอำนาจและชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ในกรณีการบังคับขู่เข็ญ หรือการจูงใจ ถือเป็นการสอบสวนชอบหรือไม่ชอบ เป็นประเด็นรายละเอียดแต่ละเรื่องไป
ส่วนนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กล่าวในเรื่องนี้ว่า ยังไม่ทราบ แต่หลายคนรู้สึกอยู่ว่าคดีที่เกิดขึ้นในยุคที่มีการยึดอำนาจ รัฐบาลไม่เป็นประชาธิปไตย ที่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ส่วนที่มองว่ากองทัพบกมีส่วนเกี่ยวข้องนั้น มองว่าขณะนั้นไม่ใช่เรื่องของกองทัพ แต่เป็นคณะพิเศษคือ คสช. โดยใช้กลไกกองทัพ ดังนั้นการบริหารงานของกองทัพในสมัยนั้นจึงไม่ใช่เรื่องของกองทัพ จากนี้คงต้องไปพิสูจน์กัน เพราะตั้งข้อกล่าวหาใครก็ได้ แต่ศาลต้องให้ความยุติธรรม และเชื่อว่าเรื่องนี้จะได้ข้อยุติ
นายสุทินยังกล่าวถึงการรับฟังความคิดเห็นของผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อกรณี ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมและมาตรา 112 ว่า ยังไม่พบว่ากองทัพรู้สึกกดดัน เพราะทุกคนมีครรลองต้องเดินไป ซึ่งครรลองนั้นก็คือระบบรัฐสภา และระบบสังคม เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาก็ต้องฟังสังคม และไม่ทำอะไรที่ฝืนสังคม
เมื่อถามว่า หน้าที่กองทัพคือพิทักษ์รักษาสถาบัน แต่ต้องมาแสดงความเห็นเรื่องนี้ นายสุทินกล่าวว่า เขามีระบบแสดงออก แต่คงไม่ได้แสดงออกแบบประชาชน หรือกลุ่มภาคประชาชน แต่สะท้อนมาที่รัฐมนตรีได้ เพราะรัฐมนตรีก็เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างทหารกับสภา
ถามย้ำว่า ถ้าเขาไม่เห็นด้วย เราพร้อมจบฟังเหตุผลหรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า รับฟังอยู่แล้ว และเชื่อว่าสภาก็ต้องฟัง และกองทัพก็ฟังเหตุผลของสภาและสังคม เมื่อทุกคนฟังกันแล้วเสียงส่วนใหญ่เป็นอย่างไรก็ตามนั้น สังคมก็เดินต่อไปได้
เมื่อถามว่า จะมีกลไกใดตัดสินว่าจะให้อภัยหรือนิรโทษฯ นายสุทินกล่าวว่า อยู่ที่สภาว่าจะสร้างระบบ หรือให้ใครเป็นคนอภัย และถ้าระบบที่สร้างขึ้นด้วยกลไกนี้สังคมยอมรับ ทุกอย่างก็จะดีเอง ส่วนกรณีคณะกรรมาธิการฯ เสนอแนวทางตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณเพื่อรองรับ ม.112 นั้น ไม่ทราบ อยู่ที่สภาจะพิจารณาอย่างไร ซึ่งก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้ในการออกเป็นประกาศสำนักนายกฯ เหมือนกรณีคำสั่ง 66/23 หรือไม่นั้น นายสุทินกล่าวว่า คาดหมายได้ยาก ต้องฟังไปพร้อมๆ กัน
ขณะเดียวกัน ที่หน้ากองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.), กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) และกลุ่มกองทัพธรรมได้จัดกิจกรรมเดินเท้ามายื่นหนังสือถึงกองบัญชาการกองทัพบก เพื่อให้คัดค้านการประกันตัวชั่วคราวนายทักษิณในคดีมาตรา 112 โดย พ.ท.ภณกรีช ฤทธีเรืองนาม นายทหารเวรผู้ใหญ่ ได้มารับหนังสือเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
พาเหรดรูดซิปปากคนบ้านป่า
นายสุทินยังกล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณออกมาระบุเรื่องคนบ้านป่าที่ทำการเมืองวุ่นวายว่า ไม่รู้ว่าท่านหมายถึงใคร ส่วนที่มองว่าเป็นลุงป้อม จะทำให้พรรคร่วมมองหน้ากันไม่ติด ไม่เห็นมีอะไร ใน ครม.ก็ทำงานกันแฮปปี้ ทำได้เป็นปกติ นายกฯ ก็ปกติ ส่วนจะส่งผลให้พรรคร่วมแตกแถวในการโหวตงบ ไม่ถึงขึ้นนั้น
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลฯ กล่าวในเรื่องว่า จริงๆ แล้วนายทักษิณไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร เพราะฉะนั้น อย่าไปตีความคิดเอาเอง อย่าคิดว่าเป็นคนนั้นคนนี้ รัฐบาลยังทำงานร่วมกันดี ไม่มีประเด็นเป็นข้อกังวล และประเด็นเหล่านี้จะไม่กระทบงานในสภาแน่นอน งานในสภาก็เรียบร้อยดี
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ได้ยินเหมือนกัน ที่ไหน หลายท่านแสดงความคิดเห็น แต่ตนเองอยู่ไกลข้อมูลดังกล่าวก็ไม่กล้าวิจารณ์ เพราะเดี๋ยวผิดถูกมันจะยาวไปอีก ขอฟังความคิดเห็นของท่านอื่นที่ผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านวิจารณ์แล้ว
ส่วน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรฯ ปฏิเสธตอบคำถามในเรื่องนี้ โดยได้ฟังคำถามพร้อมกับยิ้ม และกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ไม่ทราบ เพิ่งทราบเหมือนกัน
ขณะที่ นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีพรรคออกมาพูดเรื่องงูเห่า เป็นช่วงเดียวกับที่นายทักษิณพูดถึงคนในบ้านป่าพอดี มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ที่ สส.พรรค ก.ก.จะถูกดูดจากคนในบ้านป่าว่า น่าจะไม่เกี่ยวข้องกัน น่าจะเป็นประเด็นเกี่ยวกับนายทักษิณหรือพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะ เพราะข้อมูลที่มีความพยายามดูด สส.พรรคมาจากหลายพรรค ซึ่งเราให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า รู้ตัวใช่หรือไม่ว่ามีใครบ้าง นายชัยธวัชกล่าวว่า สส.ก็มาเล่าให้ฟังตลอดว่ามีใครจากไหน พรรคไหน คนไหนบ้าง ที่มาติดต่อ มีข้อเสนออะไรเราก็ติดตามตลอด
“อย่าเพิ่งไปสรุปแบบนั้น ผมแค่บอกว่าในความเป็นจริงมีความพยายามเยอะ จากหลายพรรคการเมืองด้วย รวมถึงแม้กระทั่งจะเสนอให้ไปย้ายเข้าอีกพรรคการเมืองใหม่ก็มีหลายโมเดล หลายกลุ่ม แต่ว่าอย่าเพิ่งไปสรุปว่าใครเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าส่วนบุคคล เราก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน” นายชัยธวัชกล่าว
เมื่อถามว่า จะมีวิธีการตอบโต้อย่างไร เพราะอาจทำให้ลูกพรรคใจอ่อน นายชัยธวัชร้องโอ้ พร้อมกล่าวว่า ไม่มีความจำเป็น เพราะสุดท้ายพรรคการเมืองไหนที่ทำงานการเมืองแบบนี้ ก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชน
วันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตกอย่างหนักเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. โดยมองว่าเกิดจากความกังวลสถานการณ์ทางการเมือง ว่าคิดว่าเป็นความเชื่อมั่นทางการตลาดหรือเปล่า
เมื่อถามอีกว่า เกิดจากปัจจัยทางการเมืองด้วยหรือไม่ เพราะมี 3 คดีใหญ่ในการทางเมือง นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องหนึ่งที่ตลาดคงมีความกังวลอยู่ แต่อย่างที่ได้บอกไปเมื่อวันที่ 10 มิ.ย.ว่าเป็นเรื่องของแต่ละคน กรณีของนายทักษิณ ก็ถือเป็นเรื่องส่วนบุคคลไป ส่วนเรื่องพรรคก้าวไกล เป็นเรื่องของฝ่ายที่อยู่ในสภา และมีกลไกที่จะตัดสิน ส่วนเรื่องของตนได้ส่งคำชี้แจงไปแล้ว
ถามว่า หากสถานการณ์ผ่านพ้นไปทั้ง 3 เรื่องคิดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คงเป็นการไม่เหมาะสมไปพูดถึงอนาคต
ฉุนถูกเปรียบหุ้นยุคลุงตู่
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังประชุม ครม.ว่ามีการพูดถึงกรณีตลาดหุ้นไทยตกหรือไม่ว่า ที่ประชุมไม่มีการพูดคุยในเรื่องนี้
ด้านนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกฯ กล่าวถึงคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญของนายเศรษฐาว่า ได้ตรวจดูแล้ว และได้ส่งไปให้หน่วยงานต่างๆ ได้ดูด้วย เพราะมีหลายชั้น ตั้งแต่ยกร่าง ตรวจดู และสอบทาน รวมแล้ว 3 ชั้น ก่อนส่งขึ้นไป โดยนายกฯ ส่งไปศาลตั้งแต่วันศุกร์ที่ 7 มิ.ย. ซึ่งตนเป็นแค่คนตรวจเท่านั้น ไม่ได้ร่างเอง ทีมกฎหมายนายกฯ เป็นฝ่ายร่าง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถือว่าสมบูรณ์แล้วใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า สมบูรณ์หรือไม่ ไม่รู้ เพราะทำได้แค่นั้น ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะขอคำชี้แจงเพิ่มหรือไม่นั้น แล้วแต่ศาล เพราะสามารถทำได้
เมื่อถามว่า สิ่งที่ชี้แจงไปถือว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกข้อ ซึ่งที่ผ่านมาทำตามกฎหมายทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำตามขั้นตอนมาตลอด เคยทำกับรัฐมนตรีร้อยคนในอดีตอย่างไรก็ทำแบบนั้น แต่ครั้งนี้ยอมรับว่ามีเข้มงวดเป็นพิเศษ
“คำชี้แจงรวมเป็นฉบับเดียวทั้งในส่วนของนายกฯ และกฤษฎีกา ส่วนเอกสารมีกี่หน้ากี่ลังตอบไม่ถูก จำไม่ได้ แต่เยอะพอสมควร” นายวิษณุระบุ
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีหุ้นไทยร่วงหนักว่า หุ้นมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ เป็นธรรมชาติ สิ่งที่เรามีปัญหาคือเราไปเข้าใจกันว่ายังมีความไม่เชื่อมั่นต่างๆ ซึ่งคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้คลี่คลายแล้ว แม้มีสถานการณ์ที่ต้องขึ้นศาล หลายเคสหลายกรณีก็ไปห่วงกันว่าจะมีปัญหา แต่หากดูนายกฯ ท่านก็ทำงานเต็มที่ ดังนั้น สถานการณ์จึงเป็นเรื่องชั่วคราว เดี๋ยวก็คลี่คลาย รัฐบาลพยายามทำหน้าที่ต่างๆ ให้ดีที่สุด
“ไม่น่ามีอะไร และคิดว่ามันเป็นข่าวสถานการณ์ที่พอผ่านไปแล้วไม่มีอะไรก็จบ เหมือนหลายเรื่องที่ผมเคยเจอ พอสถานการณ์เปลี่ยนไปมันก็เปลี่ยนแค่วันเดียวเลย มันจึงไม่ใช่ปัญหาถาวร” นายภูมิธรรมกล่าว
เมื่อถามว่า ความเชื่อมั่นในยุคพรรคเพื่อไทยดูเหมือนต่ำกว่ายุคลุงตู่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า จะมาพูดเรื่องนี้แบบนี้ไม่ได้ การที่ความเชื่อมั่นจะขึ้นหรือลงไม่ใช่พรรคเพื่อไทยหรือว่าลุงตู่ แต่เป็นเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งต้องดูไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
นายสุทินกล่าวเช่นกันว่า คิดว่าตลาดหุ้นคงแกว่งระยะสั้น เดี๋ยวก็กลับมา ไม่มีอะไรน่าวิตก
ก้าวไกลมั่นใจยังมีช่องชนะ
นายสุทินยังกล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณากรณียุบพรรค ก.ก.จะเกิดแรงสั่นสะเทือนการเมืองหรือไม่ ว่ามีผลแน่นอน แต่สังคมก็มีระบบโช้คอัพอยู่ คงไม่เกิดการกระแทกรุนแรง เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ในอดีตก็เคยมีมา นักการเมืองไทยมีประสบการณ์มาเยอะ แม้กระทั่งตนเองก็เคยเจอมา
นายชัยธวัชกล่าวถึงการประชุมพิจารณาคดีล้มล้างการปกครองของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 12 มิ.ย.ว่า คงต้องรอว่าศาลจะพิจารณาอย่างไรต่อ ซึ่งหลังจากที่เราได้ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาไปแล้ว ฝ่ายกฎหมายพรรคก้าวไกลได้ไปยื่นขอให้เปิดการไต่สวน และบัญชีรายชื่อพยานที่เราเสนอไปในแต่ละประเด็นข้อต่อสู้ ก็ต้องรอว่าศาลจะเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องไต่สวนเพิ่มเติมหรือเรียกพยานเพิ่มเติมหรือไม่อย่างไร
“เราคาดหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ โดยมีการเปิดไต่สวนเรียกพยานเพิ่มเติม โดยพยานที่ยื่นไปนั้นมีจำนวนมาก เพราะข้อต่อสู้มีหลายประเด็น ประเด็นไหนที่เราเห็นว่าจะมีการเรียกพยานเพิ่มเติมก็เสนอไป” นายชัยธวัชระบุ
เมื่อถามว่า ฟีดแบ็กที่พรรคก้าวไกลแถลงมีการวิเคราะห์กันว่าพรรคก้าวไกลใส่เต็มข้อ แสดงว่ารู้อยู่แล้วว่ารูปแบบของการตัดสินนั้น พรรคจะถูกยุบใช่หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า เป็นปกติของการต่อสู้ ที่เราไล่การต่อสู้ ตั้งแต่ประเด็นเรื่องใหญ่ลงไปเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นเรื่องการซัดเต็มข้อ แต่คิดว่าเป็นประเด็นทางกฎหมาย มีประเด็นที่เราสามารถต่อสู้ได้เราก็เสนอไป เรื่องไหนที่เราเห็นว่ามีการวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ก็เสนอไป
ส่วนเรื่องการตรวจสอบ สส.งูเห่าในพรรค นายชัยธวัชกล่าวว่า มีความพยายามที่จะติดต่อ สส.พรรคก้าวไกล ตนก็ยอมรับว่ามีจริง และไม่ใช่เรื่องใหม่ เราก็ทราบข้อมูลมาโดยตลอด ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน แต่จนถึงตอนนี้เราไม่ได้กังวลอะไร เชื่อมั่น และมั่นคงในทางอุดมการณ์ รวมถึงซื่อตรงต่อความไว้วางใจของประชาชนที่มอบให้ สส.พรรค เหนือสิ่งอื่นใดประเด็นสำคัญกว่าคือการที่เรายังมีโอกาสชนะในการต่อสู้คดียุบพรรค
เมื่อถามว่า ภาพใหญ่ตอนนี้เหมือนมีเกมที่ทำให้พรรคก้าวไกลถูกยุบ แล้วจะได้ดูด สส.งูเห่าไป เพื่อไปโหวตนายกฯ ขั้วตรงข้าม โดยการล้มนายเศรษฐา นายชัยธวัชระบุว่า เรื่องนี้อาจต้องแยกออกมาจากเรื่องการยุบพรรค ซึ่งเป็นการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ทางการเมืองก็ว่ากันไป แต่สถานการณ์นั้นยังมาไม่ถึง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'นันทเดช' ลั่น! อย่ากลัว 'ทักษิณ' จะใหญ่โตไปกว่านี้
พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ อย่ากลั
ชูศักดิ์ดิ้นหนัก ลุยล็อบบี้กมธ. ปั้นกม.การเงิน
“นายกฯ อิ๊งค์” บอกไม่ได้จบกฎหมายมา โยน “ชูศักดิ์” ดูแลเรื่องรัฐธรรมนูญ
‘18บอส’นอนตะรางยาว! สายไหมไม่รอดเจอข้อหา
18 บอสดิไอคอนนอนคุกยาว ดีเอสไอยื่นฝากขังผัด 4 พ่วงแจ้งข้อหาใหม่โทษหนักคุก 10 ปี
อิ๊งค์ข้องใจแสนชื่อเลิก‘MOU44’
“หมอวรงค์” นำกลุ่มคนคลั่งชาติยื่น 104,697 รายชื่อร้องยกเลิกเอ็มโอยู 44
ปชน.ขนทัพใหญ่ หาเสียงทิ้งทวน! หวังปักธง‘สีส้ม’
“ปชน.” ปูพรมโค้งสุดท้าย ขนทัพใหญ่ดาวกระจาย 6 สายทั่วพื้นที่ “ปิยบุตร” ขอโอกาสปักธงสีส้ม “พิธา” เชื่อคะแนนยังสูสี พรรคประชาชนมีโอกาสพลิกชนะ
ทวีโยงคาร์บ๊องป้องแม้วพักชั้น14
ตามคาด "ทักษิณ" ไม่เข้าชี้แจง กมธ.ปมนักโทษชั้น 14 "ทวี" แจงแทน