‘ชัชชาติ’ติดเบรก 3โครงการจัดซืิ้อ เครื่องออกกำลัง

“ชัชชาติ” สั่งเบรก 3   โครงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย    พร้อมตรวจสอบโครงการที่ลงนามแล้ว ฟุ้งหากพบทุจริตจะส่งให้หน่วยงานอื่นจัดการต่อไป “วัชรพล” เสียงแข็งลั่นไม่ส่งสำนวน “บิ๊กโจ๊ก” คืน เตือนอย่ายึกยักไม่งั้นอาจโดนฟ้องมาตรา 157

เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์  ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสังคมตั้งข้อสังเกตในโครงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายในปีงบประมาณ 2567 สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว (สวท.) ที่มีราคาแพง ว่า กทม.มีโครงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายทั้งหมด 7 โครงการ และได้นำมาให้บริการกับประชาชนแล้ว 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการประกวดราคาซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย  11 รายการ ของศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ วงเงินงบประมาณ 4.99 ล้านบาท 2.โครงการสำหรับศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ 4.99  ล้านบาท 3.โครงการสำหรับศูนย์นันทนาการ สังกัดส่วนนันทนาการ 17.9 ล้านบาท และ 4.โครงการสำหรับศูนย์นันทนาการวัดดอกไม้ 11.52 ล้านบาท  โดยมี 2 โครงการที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและราคากลาง โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตกรุงเทพมหานคร (ศปท.กทม.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.)

นายชัชชาติกล่าวต่อว่า ได้สั่งให้ชะลอโครงการที่อยู่ระหว่างการตรวจรับและส่งมอบงานตามสัญญา 3 โครงการ ได้แก่ โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 21 รายการ สำหรับศูนย์กีฬาอ่อนนุช 15.69 ล้านบาท, โครงการสำหรับศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา 12.11 ล้านบาท และโครงการสำหรับศูนย์กีฬามิตรไมตรี 11.01 ล้านบาท เพื่อให้ ศปท.กทม.ตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อทั้งหมดของทุกโครงการที่จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย รวมถึงโครงการก่อสร้างและปรับปรุงศูนย์กีฬาและนันทนาการอีก 7 โครงการที่มีการจัดซื้อครุภัณฑ์ร่วมด้วย ซึ่งหากพบว่ามีมูล จะส่งสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อไป ขณะเดียวกันได้ประสานข้อมูลให้หน่วยงานกลาง ได้แก่ สตง. และสำนักงาน ป.ป.ท. ร่วมตรวจสอบด้วย

วันเดียวกัน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจนครบาลระบุว่า ป.ป.ช.เตะถ่วงคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ในคดีฟอกเงินจากเว็บพนันออนไลน์ BNK Master ว่า เรื่องนี้คงต้องลำดับเหตุการณ์ให้ฟัง ว่าเริ่มต้นหน่วยงานทางเทคโนโลยีของตำรวจทำคดีที่มีการกล่าวหานายตำรวจไปเรียกรับเงิน และฟอกเงิน จึงเสนอเรื่องมาที่ ป.ป.ช. โดยเรื่องที่ส่งมาเป็นเรื่องนายตำรวจระดับ พ.ต.อ. จึงเห็นว่าไม่ใช่คดีเข้าข่ายร้ายแรง จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่ป้องกันและปราบปรามการทุจริตรับไปดำเนินการ แต่ต่อมามีการร้องเรียนและมีความเชื่อมโยงว่ามีผู้ดำรงตำแหน่งระดับ รอง ผบ.ตร. จึงรับเรื่องไว้ทำเอง ซึ่งถือเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.ที่ดำเนินการไปตามกฎหมาย ป.ป.ช. พิจารณาเรื่องนี้และเรื่องที่เกี่ยวโยงกัน รวมทั้งคดีเตาปูนด้วย  จึงรับเรื่องทั้งหมดกลับมาทำ และถือว่าอำนาจหน้าที่ของตำรวจสิ้นสุดลง จึงมีมติให้ตำรวจส่งเรื่องคืน โดยเตือนไป 2 ครั้งแล้ว

 “เป็นอำนาจของ ป.ป.ช.ในการดำเนินคดีที่เกี่ยวเนื่อง ดังนั้นชัดเจนว่าเรื่องเตาปูนมีมติแล้ว ให้ สน.เตาปูนและนครบาลทราบข้อเท็จจริง ก็เป็นอย่างนี้ว่าวันนี้อยู่ในอำนาจ ป.ป.ช.แล้ว เขาไม่มีอำนาจ เรื่องเดิมก็ต้องส่งให้เรา ดังนั้นใครมีหน้าที่อะไรตามกฎหมายก็ทำไปตามหน้าที่นั้น ถ้าคิดว่า ป.ป.ช.ทำไม่ถูกต้อง ก็มีกระบวนการที่จะตรวจสอบ และถ้า ป.ป.ช.เห็นว่าเขาทำไม่ถูกต้อง ก็มีกระบวนการที่ต้องตรวจสอบเช่นกัน”พล.ต.อ.วัชรพลกล่าว

เมื่อถามถึงหนังสือของ บช.น.ที่ระบุว่า กฎหมายฟอกเงินไม่ได้อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. และการที่ศาลอาญาออกหมายจับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในข้อหาร่วมกันฟอกเงินถือว่าเป็นคดีอาญานั้น พล.ต.อ.วัชรพลกล่าวว่า ก็เป็นอำนาจศาลที่จะพิจารณา แต่จากเอกสารที่ได้รับนั้นมีบางส่วนกรณีที่ศาลออกหมายจับ มีบันทึกระบุว่า ศาลได้ถามเจ้าหน้าที่แล้วว่าเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนยันว่าไม่เกี่ยว ศาลจึงออกหมายจับดังกล่าว ตามอำนาจหน้าที่ ส่วนสำนวนคดี สน.เตาปูน ที่ ป.ป.ช.คืนให้กับตำรวจนครบาลนั้น มีประมาณกว่า 10 คนที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ส่วนที่เหลือเมื่อวินิจฉัยว่าเป็นความผิดร้ายแรง และความผิดเกี่ยวเนื่องกัน ป.ป.ช.ก็ต้องรับมาดำเนินการ และทำให้โปร่งใส รวดเร็ว ดังนั้นใครทำหน้าที่อะไรก็ทำไป

ถามถึงการล่ารายชื่อถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช.นั้น ประธาน ป.ป.ช.กล่าวว่าเป็นสิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่งมีเงื่อนไขอยู่แล้วว่า ป.ป.ช.จะถูกตรวจสอบด้วยเรื่องอะไรได้บ้าง ประชาชนสามารถเข้าชื่อกันได้ 20,000 ชื่อ ส่งข้อกล่าวหาไปยังสภาได้  และถ้าสภาตรวจสอบแล้วพบว่ามีหลักฐาน ก็อาจมีมติส่งให้ประธานศาลฎีกา เพื่อตั้งผู้ไต่สวนอิสระ และกรรมการ ป.ป.ช.ที่ถูกกล่าวหาก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

 “กรรมการ ป.ป.ช.ที่รับผิดชอบเรื่องนี้เป็นอดีตตุลาการ ในชั้นศาลฎีกา และเป็นตุลาการผู้ใหญ่ ทุกเรื่องเมื่อพิจารณาแล้วต้องเป็นมติของกรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้นยืนยันว่าจะดำเนินการอย่างถูกต้อง ให้ความเป็นธรรม และจะรีบดำเนินการอย่างรวดเร็ว แต่ที่ยังทำไม่ได้รวดเร็ว เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ได้ส่งเรื่องคืนมาให้เรา ต้องเตือนไปถึง 2 ครั้งแล้ว ถ้ายังไม่ส่งอีกก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ อาจจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะเป็นไปตามกฎหมายเช่นเดียวกันกับที่เขาบอกว่า เราละเว้น ถ้าคิดว่าเราทำผิดก็ดำเนินการ” พล.ต.อ.วัชรพลกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง