คลังหวานเจี๊ยบ ฟังเสียง‘ธปท.’ พร้อมปรับแผน

“พิชัย-จุลพันธ์” ประสานเสียงหวานใส่ "แบงก์ชาติ" รับฟังคำเตือน ปมรัฐบาลล้วงงบเพิ่ม 1.22 แสนล้านอุ้มดิจิทัลวอลเล็ต การันตีหนี้สาธารณะยังอยู่ในเกณฑ์บริหารจัดการได้ จ่อถก FETCO  คืนชีพ LTF ปลุกตลาดหุ้นไทย

เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงความกังวลหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบปรับแผนการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2568-2571)  โดยมีการเพิ่มกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 อีก 1.22 แสนล้านบาท ซึ่งอาจกระทบต่อเสถียรภาพการคลังและการจัดการกับความเสี่ยงทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะหนี้สาธารณะ ที่ใกล้จะเต็มเพดานที่ 70% และภาระดอกเบี้ยภาครัฐที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจะทำให้ไม่มีช่องในการรับมือหากเกิดวิกฤตว่า มองว่าเป็นคำเตือนที่ดี และพร้อมที่จะรับไปดูอย่างละเอียด ทั้งนี้ แปลว่าเรามีความเพียงพอของเงินคงคลังหากเราไม่ทำอะไรเลย แต่ต้องเทียบระหว่างหากไม่ทำอะไรเลย กับทำบ้าง อันไหนจะได้ผลดีกว่ากัน เพราะในแง่ของการคลังจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงเสถียรภาพไปด้วย

 “แน่นอนว่าถ้าเราไม่ทำอะไรเลย เงินคงคลังก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เทียบกับหากมีการดำเนินการอะไรแล้วเศรษฐกิจเป็นอย่างไร อยากให้มองในมุมนั้นด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นคำเตือนที่ดี ที่เราพร้อมจะรับไปดูอย่างละเอียด โดยเฉพาะในแง่ของเงินคงคลังและเสถียรภาพด้านการคลัง แต่ไม่ได้รู้สึกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อหนี้สาธารณะว่าจะชนเพดานที่ 70% โดยระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังอยู่ในเกณฑ์ที่บริหารจัดการได้ในกรอบ 4-5 ปีข้างหน้า” นายพิชัยระบุ

รองนายกฯ และ รมว.การคลังกล่าวว่า เร็วๆ นี้กระทรวงการคลังจะมีการหารือร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)  ถึงแนวทางและหลักเกณฑ์ในการฟื้นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เพื่อกระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยหากทาง FETCO พร้อมก็สามารถนัดมาได้ทันที เพราะทางกระทรวงการคลังมีความพร้อมอยู่แล้ว

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า พร้อมรับฟังข้อห่วงใยของ ธปท. โดยยืนยันว่ารัฐบาลดำเนินการทุกอย่างภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลัง ไม่ใช่แค่ปัจจุบันหรือหลังมีการจัดทำงบประมาณเพิ่มเติม ปี 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อรองรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยมองไปข้างหน้ายังชัดเจนว่าจะอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังอย่างแน่นอน

 “เสถียภาพการคลังไม่ได้อยู่ในจุดที่สุ่มเสี่ยงสำหรับรัฐบาลในการบริหารจัดการ ส่วนเรื่องพื้นที่ทางการคลังนั้น ในการประชุมคณะทำงานด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมา ทุกคน รวมถึง ธปท. ก็เห็นตรงกันว่าตัวเลขเศรษฐกิจไทยมีความน่าเป็นห่วง  และในข้อเท็จจริงกลไกในการบริหารจัดการก็มีที่สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว ไม่ว่าพื้นที่ทางการคลังจะมีเท่าไหร่ แต่การปล่อยให้เศรษฐกิจดำดิ่งไปกว่านี้คงไม่ได้ ดังนั้นก็ต้องมาดูว่าการเก็บพื้นที่ทางการคลังไว้ ไม่ใช้ หรือใช้ 1.22 แสนล้านบาทเลย เพื่อประคับประคองให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่ให้เศรษฐกิจพังไปกว่านี้ อะไรเหมาะสมมากกว่ากัน” นายจุลพันธ์ระบุ

อย่างไรก็ดี ในการประชุมคณะทำงานด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมา ได้มีการมอบหมายให้ทุกส่วนงานด้านเศรษฐกิจกลับไปพิจารณาแผนระยะสั้นและระยะยาวว่าจะดำเนินการอย่างไร เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียน โดยทุกคนเข้าใจดีว่าการกระตุ้นจริงๆ จะมาตอนปลายปี จากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดโครงการดังกล่าวรัฐบาลไม่ได้นิ่งเฉย จะต้องมีกลไกหรือนโยบายที่แต่ละส่วนงานกำกับออกมาขับเคลื่อน และประคองให้เศรษฐกิจอยู่ได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง