ตั้ง‘เนติบริกร’นั่งที่ปรึกษาสลค.

"สมชาย" แจงเหตุสภาสูงต้องขยับเพราะฝ่ายค้านนิ่้งดูดาย ชี้หากศาลตัดสิน "เศรษฐา" ผิดจริยธรรมจริง เล็งยื่นดาบสองต่อ ป.ป.ช. "เสี่ยนิด" รับไปใช้บริการเนติบริกรถึงบ้าน บอกคำชี้แจงยังไม่เสร็จแต่ 15 วันเพียงพอ "ชัยธวัช" ลั่นหากเกิดอุบัติเหตุ ไม่มีการจับมือเพื่อไทยตั้งรัฐบาลแน่ "วัชระ" ยื่นหนังสือ อสส.ให้ยื่นฟ้องตามอัยการสูงสุดคนเก่า "จตุพร" แนะจับตา 3 วันอันตราย อาจมีเหตุทำให้คดี ม.112 ของทักษิณเปลี่ยนแปลง นายกฯ เซ็นตั้ง “วิษณุ” เป็นที่ปรึกษา สลค.

เมื่อวันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม 2567 ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้องของ 40 สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตรวจสอบคุณสมบัตินายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการทูลเกล้าฯ ถวายชื่อนายพิชิต ชื่นบาน เป็นอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ โดยนายสมชาย แสวงการ สว.ในฐานะแกนนำเรื่องดังกล่าว ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือปิดเป็นความลับ แต่เมื่อฝ่ายค้านไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบก็เป็นหน้าที่ของ สว.ที่ต้องดำเนินการ เพราะเห็นว่าเป็นกรณีที่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ โดยเฉพาะคุณสมบัติของคนที่เป็นรัฐมนตรีต้องเหนือกว่าคุณสมบัติของ สส. จะต้องไม่มีความผิดเรื่องจริยธรรมหรือเบื้องหลัง  เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องของบ้านเมือง คนเป็นนายกฯ ต้องรับผิดชอบต่อการนำเอาชื่อรัฐมนตรีที่ขัดคุณสมบัติขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย แม้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้สอบถามคุณสมบัติของนายพิชิตต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว แต่เป็นการถามเฉพาะรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 อนุ 6 และ 7 ถือเป็นเรื่องไม่ปกติ  เพราะควรถามมาตรา 160 ทั้งมาตรา ไม่ใช่แค่อนุใดอนุหนึ่ง

“ไม่ทราบว่าทำไมถึงถามแค่นี้ เป็นเรื่องที่นายเศรษฐาต้องไปชี้แจงต่อศาลเอง เพราะ สว.ได้ตรวจสอบแล้วว่ามีการสอบถามกฤษฎีกาไปแค่ครั้งเดียว คือตั้งแต่การตั้ง ครม.เศรษฐา 1 เมื่อเดือน ก.ย.2566 แต่การปรับ ครม.ครั้งล่าสุดเมื่อเดือน เม.ย. 2567 ไม่มีการสอบถามเรื่องคุณสมบัติของนายพิชิตเพิ่มเติมต่อกฤษฎีกา ทั้งที่ควรสอบถามไปเพิ่มเติมว่า นายพิชิตมีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีครบถ้วนตามมาตรา 160 และมาตราอื่นๆ หรือไม่” นายสมชายกล่าวและว่า นายเศรษฐารู้อยู่แล้วว่านายพิชิตมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ดังนั้นนายเศรษฐาต้องรับผิดชอบต่อการนำรายชื่อ ครม.ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งมีความผิดจริยธรรมร้ายแรง 

นายสมชายกล่าวต่อว่า ที่ต้องปิดรายชื่อ 40 สว.ที่เข้าชื่อตรวจสอบเป็นความลับในตอนแรกนั้น เพราะเคยเกิดกรณีการนำชื่อ สว.ที่ลงชื่อตรวจสอบข้อพิพาทกรณีเขาพระวิหารไปเล่นงาน สว. รวมถึงครอบครัวของ สว.ที่ร่วมลงชื่อ อีกทั้ง สว.ที่ลงชื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากถูกตามสัมภาษณ์หรือถูกล็อบบี้ให้ถอนชื่อ เพราะแม้แต่วันที่ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้วก็ยังมีความพยายามให้ สว.ถอนชื่อออกมา

“เดิมจะมี สว.ลงชื่อเกือบ 100 คน ทั้งๆ ที่ใช้รายชื่อเพียง 25 คนเท่านั้น แต่เห็นว่าได้รายชื่อ 40 คนก็มากเพียงพอแล้ว บางคนแม้ไม่เข้าชื่อก็มีส่วนร่วมในการตรวจสอบร่างที่ยื่นต่อศาล หรือบางคนก็ถูกขอร้องไม่ให้เซ็นชื่อ ฉะนั้นทุกคนลงชื่อด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาขอร้อง” นายสมชายกล่าว

นายสมชายยังกล่าวถึงข่าวการปลอมรายชื่อ สว.ที่ร่วมลงชื่อว่า กำลังพิจารณาว่าจะมีการฟ้องดำเนินคดีหรือไม่ เพราะคนที่เข้าร่วมลงชื่อเสียหาย และยืนยันว่าไม่มีการปลอมรายชื่อแน่นอน เพราะหากมีการปลอมถือว่าผิดกฎหมายเหมือนกรณี สส.เสียบบัตรแทนกัน ส่วนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุว่ารู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ เกรงว่าจะถูกเช็กบิลย้อนหลังหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่มีความกังวลที่จะถูกตามเช็กบิลย้อนหลัง นายทักษิณกลับไปเลี้ยงหลานดีแล้ว ถ้าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นนายกฯ เงา อาจจะมีความผิดข้อหาเกี่ยวกับเรื่องการครอบงำ แทรกแซงได้ อาจทำให้นายเศรษฐาโดนสองเด้งได้

รับไปปรึกษาวิษณุที่บ้าน

 “เรื่องนี้นายเศรษฐาจะต้องไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ  คาดว่าศาลจะเชิญนายเศรษฐา, สลค., กฤษฎีกา, สภาทนายความฯ ไปไต่สวน หรือถ้าจะเชิญผู้ร้องไปไต่สวน ผมก็พร้อมไปชี้แจง คาดว่าใช้เวลา 2 เดือน ถ้าศาลวินิจฉัยว่านายเศรษฐามีความผิด นอกจากต้องสิ้นสภาพการเป็นนายกฯ แล้ว จะต้องมีการดำเนินคดีทางอาญาต่อนายกฯ  อาจจะไปยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือศาลฎีกาดำเนินคดีต่อไป” นายสมชายกล่าว

ด้านนายเศรษฐากล่าวถึงกรณีการเชิญนายวิษณุ  เครืองาม อดีตรองนายกฯ มาให้ข้อมูลเรื่องข้อกฎหมายที่เตรียมชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ว่าไม่ได้เชิญท่านมา แต่ได้ไปหาที่บ้านเพื่อพูดคุยกัน ซึ่งนายวิษณุให้คำปรึกษาอย่างไรบ้างนั้น ขอให้เป็นเรื่องระหว่างตนเองกับท่านดีกว่า

เมื่อถามว่า ความคืบหน้าในการเตรียมคำชี้แจงเสร็จสมบูรณ์แล้วหรือยัง นายกฯ กล่าวว่ายังไม่เสร็จ

ถามอีกว่า จากการพูดคุยทำให้มีความรู้สึกว่าการสู้คดีครั้งนี้จะสู้ได้แน่นอนใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มั่นใจ ซึ่งกรอบเวลา 15 วันเข้าใจว่าเพียงพอ

“คำว่ากังวล พวกท่านก็ถามผมทุกวัน ผมก็บอกว่าผมกังวลตลอดทุกเรื่อง” นายเศรษฐากล่าวตอบข้อถามที่ว่า แสดงว่ามีความมั่นใจในการสู้คดี ไม่กังวลอะไรใช่หรือไม่

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมานั้น มีรายงานข่าวว่านายเศรษฐาได้มีการประสานขอเข้าพบตั้งแต่ช่วงปฏิบัติภารกิจที่ต่างประเทศแล้ว และนายกฯ ยังได้ทาบทามนายวิษณุเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายด้วย ล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 27 พ.ค. นายกฯ ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งให้นายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษาสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) และได้ให้เจ้าหน้าที่เตรียมห้องทำงานที่ตึก สลค.ไว้ให้นายวิษณุแล้ว โดยนายวิษณุ จะเข้ามารายงานตัวกับเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้

ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย กล่าวเรื่องนี้ว่า ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่นายกฯ ต้องชี้แจงตามกระบวนการและยังไม่มีอุบัติเหตุอะไร การบริหารราชการแผ่นดินยังดำเนินไปอย่างปกติ การทำงานของพรรคร่วมก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ต้องกังวลอะไรเกินเหตุ ไม่มีใครมานั่งคุยกันว่าจะทำอย่างไรดี หรือเตรียมแผนสองแผนสามอย่างไร ตอนนี้มีแต่แผนหนึ่งคือเศรษฐา 1/1

ส่วนนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้พิจารณาส่งผลกระทบต่อรัฐบาลอย่างปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากเกิดความไม่ชัดเจนแน่นอน และอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันนโยบายของรัฐบาลในช่วงนี้  ซึ่งต้องจับตาดูโดยเฉพาะในช่วงนี้อยู่ระหว่างการรอพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 และจะเกี่ยวข้องกับนโยบายหลักของรัฐบาล ซึ่งอาจได้รับผลกระทบหากวินิจฉัยออกมาไม่เป็นผลดีต่อนายเศรษฐา แน่นอนว่าจะต้องมีการเลือกนายกฯ  คนใหม่ จะทำให้เสถียรภาพทางการเมืองมีปัญหา และกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ

ไม่จับมือ 'เพื่อไทย'

เมื่อถามว่า หากเลือกนายกฯ ใหม่รอบนี้ไม่มี สว.แล้ว  จะมีโอกาสจับมือพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวหนักแน่นว่า "ไม่มีครับ ไม่มีโอกาสพรรคก้าวไกลจะจับมือจัดตั้งรัฐบาล คิดว่าพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยต้องเป็นพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่งกันในทางการเมือง"

ถามว่า การที่ สว.ต้องยื่นคำร้องเอง เป็นเพราะฝ่ายค้านทำหน้าที่ไม่ได้ใช่หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า ไม่เกี่ยว  ฝ่ายค้านทำหน้าที่ทุกวันอยู่แล้ว เราคิดว่าเราทำได้มีประสิทธิภาพมากกว่า สว.ด้วยซ้ำ ประเด็นที่ สว.ร้องอาจเป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลไม่ได้เห็นด้วยมากนัก ที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญมาพิจารณาว่าใครสุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีความแน่นอนทางกฎหมาย และอาจสุ่มเสี่ยงในอนาคต อย่าคิดถึงผลประโยชน์เฉพาะหน้าว่านายกฯ ถูกวินิจฉัยแล้วผิด ฝ่ายค้านจะได้ประโยชน์ แต่เราต้องคิดถึงระยะยาวว่าข้อกล่าวหาทำนองนี้ถูกใช้ได้กับทุกฝ่าย เหมือนจริยธรรมทางการเมืองที่เราไม่เห็นด้วย เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้วินิจฉัยว่าจะให้คุณค่าแบบไหน เรื่องแบบนี้เป็นความรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่ฝ่ายบริหารจะทำอะไรก็ได้ นายกฯ จะแต่งตั้งบุคคลแบบไหนก็ได้ เมื่อตั้งคนไม่เหมาะสมก็ต้องรับผิดชอบทางการเมือง

เมื่อถามว่า ความรับผิดชอบที่ว่าคืออะไร นายชัยธวัช กล่าวว่า ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ และต่อไปก็จะมีผลต่อความไว้วางใจของประชาชนระหว่างการบริหารราชการแผ่นดินและการเลือกตั้งครั้งต่อไป

นายชัยธวัชระบุว่า หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง  พรรคยืนยันที่จะส่งรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคคือนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพราะยังมีความชอบธรรมที่จะถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯ

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ไม่รู้รายละเอียดข้อเท็จจริงว่ามีใครอยู่เบื้องหลัง  ดังนั้นขออนุญาตไม่วิเคราะห์ เนื่องจากข้อมูลไม่เพียงพอ

เมื่อถามว่า การยื่นให้ศาลพิจารณาเช่นนี้ถือว่าสง่างามหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราเห็นเป็นปัญหาสำคัญของการเมืองไทย จะถูกผิดดีชั่วอย่างไรควรปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้วินิจฉัยผ่านกลไกการเลือกตั้ง  การให้อำนาจองค์กรอิสระในการยุบพรรค ตัดสิทธิ์นักการเมือง เป็นอำนาจที่ล้นเกิน และเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการพัฒนาประชาธิปไตยใช้เครื่องมือต่างๆ  เหล่านี้ทำลายพรรคการเมือง

 “ผมไม่ค่อยเห็นด้วยที่ให้อำนาจการยุบพรรค และตัดสิทธิ์นักการเมืองแก่องค์กรอิสระที่ไม่ยึดโยงกับประชาชน  และไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้” นายธนาธรกล่าว

วันเดียวกัน ยังคงมีความต่อเนื่องจากความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ลงพื้นที่ จ.นครราชสีมา โดยนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กล่าวว่า เป็นการไปแบบส่วนตัวและไปร่วมงาน ซึ่งสิ่งที่เห็นก็คือประชาชนให้การตอบรับและเคารพนับถือท่าน และพบว่าท่านยังห่วงใยประเทศและน่าจะมีข้อเสนอแนะที่ดีมายังรัฐบาล ซึ่งยอมรับว่าเรื่องงานความมั่นคงเป็นหัวข้อหนึ่งที่ท่านเป็นห่วง เพราะปัจจุบันมันมีปัญหาในพื้นที่ตามแนวชายแดนทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ชายแดนไทย-เมียนมา

ขณะที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม กล่าวเรื่องนี้ว่า กฎหมายไม่ได้ห้าม ถ้านายทักษิณไม่ได้กระทำผิดเงื่อนไขการคุมประพฤติ เราก็เคารพในสิทธิ ส่วนเรื่องมวลชนที่มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ อาจจะมีได้หลากหลาย ซึ่งตรงนี้ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องมวลชนจากกรมคุมประพฤติ

สำหรับครั้งต่อไปถ้านายทักษิณเดินทางลงพื้นที่จังหวัดอื่น หวั่นเกิดภาพกระทบกระทั่งหรือรุนแรงหรือไม่ พ.ต.อ.ทวีกล่าวว่า เป็นคำถามสมมติอาจเป็นพื้นที่สันติภาพก็ได้ เพราะมันก็ช่วยทำให้คนได้พบปะมีการพูดคุยกัน

จับตา 3 วันอันตราย

 ส่วนนายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์  (ปชป.) ส่งหนังสือถึงนายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด (อสส.) เรื่องขอให้ยืนยันคำสั่งฟ้องอัยการสูงสุด  (ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง อสส.) ว่านายทักษิณมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยยื่นผ่านนายประยุทธ  เพชรคุณ โฆษกอัยการสูงสุด

 “พี่น้องประชาชนสงสัยในการสั่งคดีเป็นอย่างยิ่ง  เพราะอดีต อสส.คนหนึ่งคือ นายชัยเกษม นิติสิริ ไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ประชาชนก็ยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก ดังนั้นคดีนี้จึงต้องรอบคอบถ่องแท้ อย่าเลื่อนการสั่งคดีออกไปอีกและให้โลกร่ำลือในวีรกรรมการสั่งคดีเพื่อประเทศชาติในครั้งนี้” หนังสือของนายวัชระระบุ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ระบุว่า ในวันที่ 29 พ.ค.นี้ หากคณะผู้ดีลยังยืนกรานให้สั่งฟ้องคดี ม.112 กับนักโทษทักษิณ โดยไม่หลงไปตามข้อเสนอเจรจาใหม่ให้เลื่อนออกไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง  แม้นักโทษทักษิณจะไปตามนัดของ อสส.ในการจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี ม.112 ด้วยสีหน้าระรื่นก็ตาม แต่ใจกลับเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เหมือนกัน โดยประเมินจากสัญญาณดีลมีการต่อรองกันไปมากับการฟ้องคดี ม.112

 “มีข่าววงในระบุว่า มีการยื่นข้อเสนอจะลาออกภายในกรอบเวลา 1 เดือน เพื่อแลกกับการสั่งไม่ฟ้องคดี ม.112  หรือเลื่อนคดีออกไป แต่คณะผู้ดีลเห็นว่า เรื่องในศาลไม่ได้เป็นการกระทำความผิดที่อยู่ในเงื่อนไขดีลมาแต่ต้น จึงเป็นคนละกรณีกัน”

นายจตุพรกล่าวว่า อีก 3 วันจากนี้จะถึงวันที่ 29 พ.ค. คงได้เห็นสัญญาณอะไรบางอย่างผุดขึ้นมา ถ้ามีคนจริงขึ้นมาย่อมทำให้ทุกอย่างนับวันถอยหลังได้ หากคณะผู้ดีลไม่มีคนจริงและพร้อมจะเป็นคนโง่ซ้ำซาก ยิ่งทำให้สถานการณ์บ้านเมืองถูกลากออกไป แล้วเกิดปัญหาทับถมหนักขึ้นไปอีก จนอาจจะจบลงอีกสถานการณ์หนึ่งก็เป็นไปได้ อีกทั้งการปล่อยให้นักโทษก่อเรื่องโกลาหลกับประเทศ เพื่อจะเดินเกมล้มกระดาน แล้วองค์กรนั้นหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงจะถูกปฏิรูปครั้งใหญ่ที่สุด ดังนั้นขอทุกองค์กรได้พิจารณาตัดสินตามเนื้อผ้า เพื่อไม่ให้กระทบกับความรู้สึกของบ้านเมืองอย่างกว้างขวาง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่นทันที! นายกฯมาเอง ลงพื้นที่ห้วยขวาง สั่งสอบป้ายโฆษณาขายพาสปอร์ต

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่สน.ห้วยขวาง ติดตามสอบถามข้องเท็จถึงกรณีที่พบมีการติดแผ่นป้ายโฆษณาซื้อขายหนังสือเดินทางและพาสปอร์ตที่แยกห้วยขวาง พบว่ามีการขึ้นป้ายดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 ก.ค. 2567 เนื้อหาเป็นข้อความเกี่ยวกับการรับจ้างทำหนังสือเดินทาง

'เศรษฐา' อย่าสับสน! โพลวัดผลงาน ไม่ใช่เรตติ้งนายกฯ

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อย่าสับสน !!! ระหว่างผลงาน กับการเลือกนายกฯ คนต่อไป