พท.เดินหน้ากม.สกัดปฏิวัติ ขอวงจรปิดพิสูจน์เหตุ‘บุ้ง’

“พท.” ออกแถลงการณ์ ต้านรัฐประหาร เล็งออก กม.ห้ามนิรโทษกรรมคนยึดอำนาจ แนะศาลเลิกยอมรับ รัฏฐาธิปัตย์ “บิ๊กทิน” ชี้กองทัพไม่ขัดข้อง หากแก้ พ.ร.บ.กลาโหม “ทนายด่าง” นัด 24 พ.ค. ขอวงจรปิดวันเกิดเหตุเคลียร์ข้อสงสัยเหตุ "บุ้ง" เสียชีวิต "ผอ.รพ.ราชทัณฑ์" ปัดตอบปมใส่ท่อช่วยหายใจ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 พ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายดนุพร ปุณณกันต์  โฆษกพรรคเพื่อไทย อ่านแถลงการณ์พรรคเพื่อไทยว่า 10 ปีที่ผ่านไป จากรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 “ยุติวงจรรัฐประหาร ด้วยรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 อํานาจอธิปไตยของคนไทยดับสิ้นลง จากคณะรัฐประหารที่ชื่อว่า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ยึดอํานาจรัฐบาลเพื่อไทย รัฐบาลที่มาจากความไว้วางใจของพี่น้องประชาชน การกระทําการรัฐประหาร คือการกระทําที่ผิดกฎหมาย ทําลายประชาธิปไตย ผลักประเทศให้เดินถอยหลังไปสู่ความถดถอยภายใต้อํานาจเผด็จการ สิ่งที่เราสูญเสียไปคือโอกาสของประเทศทั้งที่สามารถประเมินมูลค่าได้  และอีกนานัปการที่ประเมินมูลค่าไม่ได้

นายดนุพรกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าเราปฏิเสธการรัฐประหาร ไม่ยอมรับสารตั้งต้นที่อาจเป็นการสร้างเงื่อนไขไปสู่การรัฐประหาร และปฏิเสธการนิรโทษกรรมต่อการรัฐประหารในทุกกรณี ศาลและองค์กรรัฐอื่นๆ ต้องยกเลิกบรรทัดฐานที่ว่าการรัฐประหารโดยใช้กําลังอาวุธสําเร็จเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เรายืนยันแนวคิดให้มีการตรากฎหมายต่อต้านการรัฐประหารขึ้น

โดยห้ามมิให้ศาลยอมรับการรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และยืนยันในแนวคิดว่าความผิดในการรัฐประหารไม่มีอายุความ โดยให้ถือเป็นประเพณีการปกครองประเทศในระบอบประชาธิปไตย   พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าการรัฐประหารคืออาชญากรรมร้ายแรงต่อมวลมนุษยชาติ  เป็นอาชญากรรมต่อระบอบประชาธิปไตย เรายึดมั่นในหลักการว่าอํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย เราจะร่วมกันต่อต้านการรัฐประหาร การรัฐประหารจะต้องหมดไปจากประเทศไทย

นายดนุพรกล่าวอีกว่า การรัฐประหารที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่ผ่านมา จะมีข้ออ้างเสมอมาว่ารัฐบาลประชาธิปไตยบริหารประเทศล้มเหลว อ้างสถานการณ์ที่นําไปสู่การยึดอํานาจโดยใช้กําลังอาวุธ แต่ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่การรัฐประหารนําพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า มีแต่นําไปสู่ความตกต่ำ ถดถอย และล้าหลังดังที่เห็นกันอยู่ตลอดมา พรรคเพื่อไทยในฐานะสถาบันการเมือง ในฐานะแกนนํารัฐบาลของพี่น้องประชาชน เราจะบริหารราชการแผ่นดินอย่างดีที่สุด เราจะร่วมมือกันกับคนไทยผู้รักประชาธิปไตย ไม่ให้การรัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศไทยอีก

ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จุดยืนของพรรคเพื่อไทยจึงเห็นแล้วว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องผลักดันจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แทนที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ต้องมีบทบัญญัติว่าด้วยการต่อต้านการทำรัฐประหารอยู่ในนั้นด้วย ขณะเดียวกันเราคิดว่าต้องสำเร็จในรัฐบาลพรรคเพื่อไทยใน 4 ปีนี้ เพื่อให้เป็นของขวัญสำหรับพี่น้องประชาชน

นายชูศักดิ์กล่าวว่า จุดใหญ่สำคัญคือเรายอมรับการทำรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และยอมให้เขาบริหารประเทศ เป็นเรื่องที่ผิด แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ ความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนในการต่อต้านกระบวนการรัฐประหารเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งขณะนี้เราพยายามยกร่างกฎหมายฉบับนี้ให้สำเร็จ สามารถเสนอต่อรัฐสภาต่อไปในอนาคต ดังนั้นในโอกาสครบรอบรัฐประหาร สิ่งที่พรรคเพื่อไทยมุ่งหวังคือมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย ต่อต้านการรัฐประหาร และมีกฎหมายต่อต้านการรัฐประหารที่เป็นประชาธิปไตย เพื่อให้การรัฐประหารหมดสิ้นไปจากสังคมไทย

นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กองทัพพร้อมจะปรับตัวอยู่แล้ว และเชื่อว่าฝ่ายการเมืองไม่ควรจะกังวลขนาดนั้น แต่ถ้าฝ่ายการเมืองจะเสนอกฎหมายที่เกี่ยวกับการป้องกันการทำรัฐประหาร และเชื่อว่าก็น่าจะมีการเสนอนั้น ในส่วนของกระทรวงมีคณะทำงานด้านกฎหมาย ภายใต้การดูแลของ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม สามารถอธิบายได้อยู่แล้ว

ทั้งนี้ หากมีการผลักดันแก้ไขกฎหมายจะเป็นการทำงานร่วมกัน เพราะการประชุมสภากลาโหมที่ผ่านมาได้รายงานข้อเสนอการแก้ไขพระราชบัญญัติบริหารราชการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกองทัพไม่ได้ขัดข้องที่จะมีการแก้ไข ส่วนการเมืองจะสบายใจได้หรือไม่ว่าจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น นายสุทินระบุว่า ไม่ได้คิดไปขนาดนั้นแต่ เชื่อว่าทุกคนไม่ใช่เฉพาะทหารมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดี จึงต้องป้องกันร่วมกัน

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีครบรอบ 10 ปีของการทำรัฐประหารในวันที่ 22 พ.ค.ว่า ปัจจุบันผู้นำรัฐประหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำประเทศอีกต่อไป แต่ก็ยังมีมรดกหลายอย่างที่ถูกก่อร่างสร้างในการรัฐประหารที่ยังหลงเหลืออยู่ ในโครงสร้างการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ของประเทศไทย ซึ่งเราจำเป็นต้องรื้อ 3 อย่าง คือ 1.ในเชิงการเมือง มรดกสำคัญของรัฐประหารคือรัฐธรรมนูญปี 60

2.เรื่องของกองทัพที่ผ่านมา ยังมีอำนาจหลายส่วนที่อยู่เหนือรัฐบาลพลเรือน ซึ่งเราได้ยื่นกฎหมายเข้าไปแล้ว  และหวังว่าจะมีการพิจารณาเมื่อสภาเปิดคือการแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบราชการกลาโหมเพื่อปรับเรื่องของอำนาจ 3.คือเรื่องการขยายอำนาจของกลุ่มทุนใหญ่ที่อาจมีอำนาจเหนือเศรษฐกิจ ทำให้การการแข่งขันในประเทศเป็นลักษณะผูกขาดไม่ใช่การแข่งขันที่เสรี เป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อศักยภาพผู้ประกอบการรายย่อยในการเติบโต ทางพรรคก้าวไกลได้มีการยื่นร่างแก้ไข พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้าเพื่อจะปฏิรูปเกี่ยวกับคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ซึ่งทั้งหมดเป็นจุดยืนที่เราได้ยื่นร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสภาไปแล้ว โดยวาระสำคัญตอนนี้คือให้ร่างเหล่านี้ถูกผลักดันโดยเร็วที่สุด

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.30 น. กลุ่มมวลชนทะลุฟ้าได้นัดรวมตัวกันที่บริเวณสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.) เพื่อยื่นหนังสือทวงความเป็นธรรมกรณีให้ตรวจสอบการเสียชีวิตของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ทะลุวัง ต่อนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ที่มีการนัดหมายไว้รับฟังความคืบหน้าเกี่ยวกับตรวจสอบการเสียชีวิตของ น.ส.เนติพร แต่ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุมรอนานกว่า 1 ชม. ยังไม่มีใครออกมารับหนังสือหรือให้คำตอบ ทำให้กลุ่มทะลุวังที่เป็นแนวร่วมมายื่นหนังสือในครั้งนี้ เดินข้ามถนนเข้ามายังทำเนียบรัฐบาลทางประตู 1 เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ประจำการอยู่บริเวณประตู 1 ออกมาตั้งแนวป้องกันไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาลได้ พร้อมระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่มเติมเข้ามาจำนวนมาก เนื่องจากที่ทำเนียบฯ กำลังมีการประชุมคณะรัฐมนตรี สุดท้ายกลุ่มผู้ชุมนุมยอมเดินกลับไปที่สำนักงาน ก.พ. เนื่องจากนายสมคิดได้มารอรับหนังสือแล้ว

ด้านนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า วันที่ 24 พ.ค.นี้ จะเข้าไปนำกล้องวงจรปิดซึ่งจะเป็นหลักฐานสำคัญในการชี้ว่ามีการรักษาบุ้งอย่างไรในวันเกิดเหตุ และตรงกับเอกสาร 26 แผ่น ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ให้มาหรือไม่ ตนเองและครอบครัวของบุ้งรู้สึกเคลือบแคลงใจและตั้งข้อสงสัยถึงเอกสารดังกล่าว  และได้นำเอกสารดังกล่าวไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชและแพทย์เฉพาะทาง มองว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือดัดแปลงเอกสารบางส่วนหรือไม่ และที่สำคัญเวลาการรายงานผลการช่วยชีวิตไม่ตรงกับเวชระเบียนของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ 

นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยอมรับว่า ร่วมนั่งรถพยาบาลไปด้วย ขณะนำตัว น.ส.เนติพรไปส่งที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ วันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา เพราะเป็นผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ อย่างไรก็ตาม นพ.พงศ์ภัคไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวในกรณีที่ทนายความอ้างถึงเอกสารของโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ว่ามีการใส่ท่อช่วยหายใจผิดตำแหน่ง โดยใส่เข้าไปในหลอดอาหารแทนหลอดลม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง