ชงศบค.ลดโซนแดง ร่นเคอร์ฟิว5ทุ่ม-ตี3

ติดเชื้อโควิดใหม่ดีดกลับ 10,064 ราย ตาย 82 ราย ชง “ศบค.ชุดใหญ่” ปรับพื้นที่สีแดงเข้มเหลือ 24 จว.  ขยับเคอร์ฟิวเป็น 5 ทุ่มถึงตี 3 ให้มีผล 16 ต.ค.นี้ ททท.ชงเคาะรับนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 20 ประเทศเสี่ยงต่ำไม่ต้องกักตัว "สุพัฒนพงษ์” เผยเตรียมจัดเคาต์ดาวน์ปีใหม่ที่ “ภูเก็ต” หากพื้นที่ไหนพร้อมก็เสนอขึ้นมาอีกได้ “อนุทิน” โยนถาม รมว.การท่องเที่ยวฯ เชิญ “ลิซ่า แบล็กพิงก์” ร่วมงานเคาต์ดาวน์ที่ภูเก็ต จัดได้หรือไม่ต้องดูตามสถานการณ์ แต่จะทำให้ดีที่สุด  “หมอประสิทธิ์” เชื่อเปิดประเทศยอดโควิดเพิ่มแต่ควบคุมได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 13 ตุลาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์โควิด-19 ว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,064 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 9,937 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 9,156 ราย, มาจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 781 ราย,  จากเรือนจำและที่ต้องขัง 118 ราย และเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 9 ราย  ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมตั้งแต่ปี 63 จำนวน 1,740,428 ราย ผู้รักษาหายป่วยเพิ่ม 10,988 ราย ยอดรวมหายป่วยสะสมตั้งแต่ปี 63 จำนวน 1,615,343 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 107,168 ราย อาการหนัก 2,941 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 669 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 82 ราย เป็นชาย 42 ราย หญิง 40 ราย เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 66 ราย มีโรคเรื้อรัง 10 ราย และในจำนวนนี้มีพยาบาลหญิง 1 ราย จ.ระยอง อายุ 45 ปี เป็นโรคอ้วนและความดันโลหิตสูง ได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนด ขณะยอดผู้เสียชีวิตสะสมตั้งแต่ปี 63 จำนวน 17,917 ราย สำหรับการฉีดวัคซีนวันที่ 12 ต.ค. 962,558 โดส ฉีดสะสมตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 61,995,809 โดส ขณะที่สถานการณ์โลกมีผู้ติดเชื้อสะสม 239,477,111ราย เสียชีวิตสะสม 4,881,538 ราย 

สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด ได้แก่ กทม. 1,142 ราย, ยะลา 650 ราย, สงขลา 475 ราย, สมุทรปราการ 453 ราย, ชลบุรี 442 ราย, ปัตตานี 423 ราย, นราธิวาส 420 ราย, ระยอง 326 ราย, จันทบุรี 311 ราย และนครศรีธรรมราช 264 ราย

พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 หรือ ศปก.ศบค. เปิดเผยว่า ในการประชุม ศบค.ชุดใหญ่วันที่ 14 ตุลาคม จะมีการเสนอพิจารณามาตรการเปิดประเทศ รวมไปถึงมาตรการด้านสาธารณสุข และการผ่อนคลายบางกิจกรรมกิจการ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อกังวลอะไรจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยตนขอไม่กล่าวถึงรายละเอียด ขอให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อน และขอให้รอความชัดเจนในการประชุม ศบค.ชุดใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในวันที่ 14 ต.ค. เวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. จะเป็นประธานการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เพื่อประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 หลังจากผ่อนคลายและปรับมาตรการกิจการกิจกรรมต่างๆ มาครบ 14 วัน อย่างไรก็ตาม ศปก.ศบค.จะเสนอให้ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่พิจารณาผ่อนคลายเพิ่มเติม รวมถึงพิจารณาปรับระดับสีใหม่ให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดหรือสีแดงเข้ม เหลือจำนวน 24 จังหวัด จากพื้นที่ควบคุมสูงสุดหรือพื้นที่สีแดง จำนวน 29 จังหวัด และพื้นที่ควบคุมหรือสีส้ม จำนวน 24 จังหวัด
ชงขยับเคอร์ฟิว 5 ทุ่ม-ตี 3

พร้อมกันนี้ ศปก.ศบค.จะเสนอให้ที่ประชุม ศบค.พิจารณาเกี่ยวกับการเดินทางออกนอกเคหสถาน หรือเคอร์ฟิว โดยเสนอให้ขยับเวลาจากเดิม 22.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เป็น 23.00-03.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ไปอีก 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 16-31 ต.ค.2564 ส่วนกิจการกิจกรรมในพื้นที่สีแดงเข้ม จะเสนอให้ผ่อนคลายและปรับมาตรการคือ ให้สามารถจัดการประชุม รวมถึงงานประเพณีในศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการ และสถานที่ลักษณะเดียวกันในห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรมได้ โดยปรับจำนวนการรวมกลุ่มคนตามระดับพื้นที่สี โดยให้พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 50 คน, พื้นที่ควบคุมสูงสุด ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 100 คน, พื้นที่ควบคุม ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 200 คน, พื้นที่เฝ้าระวังระวังสูง ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 300 คน และพื้นที่เฝ้าระวัง ห้ามจัดกิจกรรมรวมคนมากกว่า 500 คน รวมถึงให้เปิดสถานดูแลผู้สูงอายุแบบไป-กลับได้ แต่ต้องได้รับการพิจารณาอนุญาตจากคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ซึ่งกิจการกิจกรรมที่จะปรับมาตรการในครั้งนี้ให้เปิดดำเนินการได้ไม่เกินเวลา 22.00 น.

นอกจากนี้ จะเสนอให้ที่ประชุม ศบค.พิจารณาแนวทางการเปิดประเทศเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ 10 ประเทศแบบไม่ต้องกักตัว โดยจะพิจารณาปัจจัยหลักคือจำนวนผู้ติดเชื้อของแต่ละประเทศ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอให้ ศบค.พิจารณาสูตรฉีดวัคซีนแบบไขว้ คือฉีดแอสตร้าเซนเนก้าตามด้วยไฟเซอร์ นอกจากนี้จะมีการเสนอให้ที่ประชุมพิจารณามาตรการแนวทางการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อรองรับการเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในวันที่ 1 พ.ย. รวมถึงความพร้อมด้านต่างๆ ก่อนที่จะอนุญาตเปิดสถานบันเทิงให้ดื่มกินได้วันที่ 1 ธ.ค.โดยข้อเสนอต่างๆ จะชัดเจนอย่างไรให้รอมติที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่วันที่ 14 ต.ค.

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า  ททท.ได้มีการหารือร่วมกับ ศปก.ศบค. เพื่อสรุปรายชื่อประเทศความเสี่ยงต่ำ ที่จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ สามารถเดินทางเข้าไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว และไม่จำกัดพื้นที่ โดยมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มจาก 10 ประเทศ อาทิ อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และสหรัฐอเมริกา ตามที่นายกฯ ได้ออกแถลงการณ์เพิ่มเป็น 20 ประเทศ ส่วนจะมีประเทศใดเพิ่มเติมมาบ้างนั้น ยังต้องรอข้อสรุปและประกาศอย่างเป็นทางการอีกที ส่วนรูปแบบการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบไม่กักตัวนั้น ต้องได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยวิธีอาร์ที-พีซีอาร์ ณ ที่พักที่กำหนด โดยนักท่องเที่ยวต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง ต้องอยู่ในโรงแรมที่พักที่ได้เครื่องหมายมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและสุขอนามัย (เอสเอชเอพลัส) เท่านั้น จนได้รับผลการตรวจหาเชื้อ และเมื่อผลการตรวจหาเชื้อระบุว่าไม่พบเชื้อ จะสามารถเดินทางท่องเที่ยวแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ได้ โดยนักท่องเที่ยวเปลี่ยนโรงแรมใหม่ในการเข้าพักได้

ด้านนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินหน้าเปิดประเทศว่า ทุกภาคส่วนต้องมาหารือพูดคุยกัน โดยเฉพาะประชาชนต้องมีการเตรียมความพร้อม ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอยู่แล้ว การออกแถลงการณ์เปิดประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีอะไรที่จะต้องงุนงง เพราะมีแผนการและขั้นตอนรองรับ ที่สำคัญจะใช้ภูเก็ตโมเดลเป็นต้นแบบดำเนินการ แล้วนำมาเชื่อมโยงกัน จึงเชื่อว่าการดำเนินการต่างๆ จะรวดเร็วขึ้น รัฐบาลตั้งเป้าเรื่องการเปิดประเทศไว้ ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องไปทำการบ้านตามสิ่งที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้ โดยจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพราะรัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้ 

เมื่อถามถึงการจัดกิจกรรมเคาต์ดาวน์ปีใหม่ ครั้งนี้จัดได้หรือไม่ นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ในเบื้องต้นได้เตรียมการไว้ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต จะสามารถจัดกิจกรรมเคาต์ดาวน์ในช่วงปีใหม่ได้ และหากพื้นที่ไหนมีความพร้อม ก็สามารถเสนอขึ้นมาได้ เนื่องจากภาคเอกชนไทยมีศักยภาพ ที่สำคัญคือทุกฝ่ายต้องหารือกัน เพราะต้องเดินหน้าเศรษฐกิจควบคู่กับความปลอดภัยด้านสาธารณสุขไปพร้อมกัน มั่นใจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะฟื้นตัวขึ้น 'เคาต์ดาวน์'ปรับตามสถานการณ์

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามีแผนดึงตัวลิซ่า แบล็กพิงก์ มาร่วมงานเคาต์ดาวน์ปีใหม่ 2022 ที่จังหวัดภูเก็ต ว่า ขอให้ถาม รมว.การท่องเที่ยวฯ เพราะตนยังไม่ได้พูดคุยถึงเรื่องดังกล่าว เมื่อถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะเชิญศิลปินระดับโลกมาร่วมงานเคาต์ดาวน์ปีใหม่ นายอนุทินกล่าวว่า ก็ดี เพราะเขาเป็นคนไทย และรักบ้านเมือง เป็นคนจังหวัดบุรีรัมย์ แต่ทุกอย่างเราต้องให้เกียรติเขา เพราะเขาเป็นศิลปินระดับโลกแล้ว เขาก็ต้องชื่นชอบประเทศไทย

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าในสิ้นปีนี้ประเทศไทยจะสามารถจัดงานเคาต์ดาวน์ ปีใหม่ได้ นายอนุทินกล่าวว่า จะทำให้ดีที่สุด และขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย หากเราเริ่มผ่อนคลายมาตรการจะต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วย ดังนั้นขอให้อยู่ในข้อกำหนดที่รัฐบาลประกาศไว้ เพื่อลดความสุ่มเสี่ยงต่างๆ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การจัดงานเคาต์ดาวน์ปีใหม่จะเกิดขึ้นที่ใด ระหว่างภูเก็ต เขาใหญ่ กรุงเทพฯ หรือที่อื่นๆ นายอนุทินกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในอนาคต หากสถานการณ์ไม่เลวร้ายและได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากประชาชน พร้อมกับสามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ได้ เราจะทำอะไรก็ได้ จึงต้องช่วยกัน รัฐบาลไม่มีคำว่าดีเลย์ มีแต่ไปเร็วกว่าที่วางแผนไว้ ไม่ใช่ว่าจะยึดอยู่ที่ไทม์ไลน์อย่างเดียว เราต้องปรับไปตามสถานการณ์เพื่อความเหมาะสม และคิดถึงเรื่องความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก

ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ว่า เห็นด้วย เพราะอัตราการฉีดวัคซีนในไทยขณะนี้เข็ม 1 ฉีดครอบคลุมคนไทยได้เกินร้อยละ 50 แล้ว ส่วนเข็ม 2 ก็เกิน 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดไปแล้วรวมถึงผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งกว่าจะถึงเดือน พ.ย. ยอดการฉีดวัคซีนเข็ม 1 น่าจะครอบคลุมคนไทยได้เกินร้อยละ 60 เป็นจำนวนที่เยอะพอก็จะช่วยลดความรุนแรงและลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ก็ขอย้ำต้องมี 3 มาตรการที่ทำควบคู่กัน คือ 1.มาตรการการฉีดวัคซีน ซึ่งขณะนี้มีมากพอแล้ว 2.มาตรการส่วนบุคคลที่หย่อนยานลงไม่ได้ ต้องดำเนินการตามมาตรการเคร่งครัด และ 3.มาตรการด้านบริหารจัดการและการปกครองต้องเข้มงวด 

"หากเปิดประเทศแล้ว อาจจะมีตัวเลขผู้ติดเชื้อจะเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ไม่เป็นไร หากไม่มีผู้เสียชีวิต หรือตัวเลขผู้ติดเชื้อที่จะเพิ่มขึ้นนั้น ยังอยู่ในสัดส่วนที่ควบคุมได้ ส่วนตัวเลขที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มนั้น มีที่มาได้จากทั้ง 2 ส่วนคือ ทั้งจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือการหย่อนยานทางมาตรการจากคนในประเทศ ซึ่งก็มีโอกาสที่เป็นไปได้ทั้ง 2 อย่าง แต่ในส่วนของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาก็มีการควบคุมที่เข้มข้นอยู่แล้ว จึงไม่น่าห่วงซักเท่าไหร่ การให้ตรวจหาเชื้อที่มากกว่า 1 ครั้ง ตั้งแต่ประเทศต้นทาง และเมื่อมาถึงแผ่นดินไทย ซึ่งจะช่วยทำให้เชื้อไม่หลุดลอดเข้ามาได้ ฉะนั้นเมื่อเปิดประเทศไม่ใช่เรื่องที่ว่าใครจะต้องกลัวใคร" ศ.นพ.ประสิทธิ์  กล่าว

สถานการณ์ต่างจังหวัด สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครเปิดเผยตัวเลขล่าสุดของผู้ติดเชื้อโควิดว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 100 ราย เสียชีวิตสูงถึง 4 ราย และอยู่ระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาล 1,350 ราย  

ส่วน จ.สงขลา ยังหนัก ผู้ติดเชื้อโควิดวันที่ 13 ต.ค. 475 คน ยอดสะสม 36,313 คน ไม่รวมผู้ติดเชื้อในเรือนจำและมาจากต่างประเทศ ไม่มีผู้เสียชีวิต ยอดสะสม 161 คน นอนรักษาในโรงพยาบาลกว่า 6,340 คน 

จังหวัดนครศรีธรรมราช พบผู้ป่วยโควิด-19 เพิ่ม 510 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 21,607 ราย รักษาหายแล้วสะสม 15,371 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 10 ราย ยอดเสียชีวิตสะสม 134 ราย

นพ.กู้ศักดิ์ กู้เกียรติกูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ภูเก็ต แนวโน้มผู้ติดเชื้อลดลง ยอดเตียงว่างมากขึ้น ส่วนคลินิกอุ่นใจยังมีคนไข้เข้ามาติดต่อ ทำ RT-PCR พบว่ายังติดเชื้ออยู่ในชุมชน 4-5% ถ้าไม่มีอาการจะอยู่ CI, Home Isolation.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'หมอยง' ชี้สถานการณ์โควิดเปลี่ยนตามกาลเวลา ปีนี้ยุติแล้ว แต่ไวรัสยังอยู่ต่อไป

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า 5 ปี โควิด 19 กาลเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน

โควิดกลับมาระบาดใหม่ ‘หมอมนูญ’  ขออย่าตื่นตระหนก รักษาตามอาการหายได้

เวลาผ่านไปโรคโควิดลดความรุนแรงลง โรคโควิดไม่น่ากลัวหมือนเมื่อ 3-4 ปีก่อน คนไทยไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจกลัวโรคโควิดมากเกินไป

สายการบิน 'ลุฟท์ฮันซา' ต้องจ่ายค่าปรับกรณีเลือกปฏิบัติต่อผู้โดยสารชาวยิว

สายการบินลุฟท์ฮันซาต้องจ่ายค่าปรับจำนวน 4 ล้านดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกา เหตุเพราะในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดขอ

ไทยติดโควิดรอบสัปดาห์ 353 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายสัปดาห์ว่า ระหว่างวันที่ 6 - 12 ตุลาคม 2567 มีผู้ติดเชื้อรายใหม่