ฟุ้ง6วาระปลดล็อก! พิธาขายฝันโอ่กวาด300เสียง/สว.ยํ้าฟัน‘ถุงขนม’ไร้พลิก

"ดิเรกฤทธิ์" มั่นใจไร้ผลกระทบหลังมี "สว." โวยถูกอ้างชื่อยื่นศาล รธน.ถอด "เศรษฐา-พิชิต" เหตุการลงชื่อครบตาม กม.กำหนดอ้างไม่เปิดชื่อ หวั่นมีผลกระทบ "อดีต สส.ปชป." จับตามติศาลรธน. 23 พ.ค. จุดเปลี่ยนการเมือง "ธนกร"  สยบข่าวลือ รทสช.ไม่แตก สัมมนา สส.ชื่นมื่นไร้ตั้งก๊กแบ่งก๊วน มั่นใจ "พีระพันธุ์" เดินหน้าเต็มสูบ "พิธา" ลั่นไม่ไร้เดียงสาจนไม่รู้พรรคไหนจ้องดูด สส. ยัน "ก้าวไกล" มีเจตนาดี "แก้ ม.112" ปัดล้มล้างการปกครอง ปาฐกถา "Why 6 Big Bang"  หากปล่อยไว้จะกลายเป็นระเบิดเวลา โวรอบหน้า ก.ก.ต้องได้ 270-300 เสียง "ชัยธวัช" ซัดชนชั้นนำไม่ยอมปลดล็อกประเทศ ลั่นสิ่งเก่ากำลังจะตาย สิ่งใหม่กำลังจะเกิด ก.ก.ขอเป็นสะพานเชื่อมแห่งยุคสมัย

เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งเป็น 1 ใน 40 สว. ที่ร่วมลงชื่อเพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการขาดคุณสมบัติดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. ปฏิเสธการเข้าชื่อเพื่อยื่นเรื่องดังกล่าวต่อศาลรัฐธรรมนูญ พร้อมระบุถึงการมีผู้นำเชื่อไปแอบอ้างว่า  กรณีดังกล่าวไม่มีผลใดๆ ต่อการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมีการลงชื่อครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด คือ ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของสมาชิกที่มี หรือ 25 คน ซึ่งการลงลายมือชื่อดังกล่าวมี สว. เข้าชื่อจำนวน  40 คน ส่วนที่มีข้อเรียกร้องให้เปิดเผยรายชื่อ สว.ทั้งหมดที่ร่วมลงนามนั้น เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละบุคคลที่จะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยก็ได้ อีกทั้งบางคนไม่อยากให้เปิดเผย เพราะกังวลว่าจะมีผลกระทบ หรือทำให้เกิดการได้หรือเสียเปรียบต่างๆ

 “สว.หลายคนเป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากออกสื่อ หรือไม่จำเป็นต้องแสดงตัว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตีตราลับและใช้สิทธิยื่นต่อประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ทั้งนี้ รายชื่อของ สว.นั้นถูกเปิดเผยต่อศาลแล้ว หากมีคำพิพากษาหรือคำวินิจฉัยจะเปิดเผยในรายละเอียดอยู่ แต่ ในระหว่างการดำเนินการไม่อยากให้เปิดเผย ผมในฐานะผู้ร่วมลงชื่อ ยอมรับว่าไม่ได้เห็นรายชื่อทั้งหมด" นายดิเรกฤทธิ์ กล่าว

นายดิเรกฤทธิ์กล่าวด้วยว่า การเข้าชื่อของ สว. ไม่มีการใช้เครดิตของบุคคลใดเป็นการเฉพาะ เพราะ สว.แต่ละคนมีหน้าที่และมีสิทธิเท่ากัน และเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมาย ส่วนที่หลายฝ่ายถามหาเหตุผลว่าทำไมต้องทำในช่วงที่ สว.ปัจจุบันหมดวาระแล้ว ข้อเท็จจริงคือ สว.ปัจจุบันยังมีเงินเดือนและค่าตอบแทน  ยังทำหน้าที่อยู่ ซึ่ง สว.ปัจจุบันจะพ้นจากตำแหน่งเมื่อมี สว.ชุดใหม่เข้ามาทำหน้าที่ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องของการทำในระหว่างหมดวาระ

 “ยืนยันว่าไม่มีใบสั่งหรือรับงานมาจากไหน แต่ยอมรับว่า สว.มีความเห็นหลากหลายในแต่ละกลุ่ม ซึ่งแต่ละคนล้วนมีเหตุผลและการพิจารณาเนื้อหา ส่วนผมนั้นไม่ใช่คนเกเร หรือเห็นแก่ประโยชน์ใด และที่ผ่านมาการทำหน้าที่ของผมนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน” นายดิเรกฤทธิ์กล่าว

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เห็นคำสัมภาษณ์ของนายเศรษฐาเกี่ยวกับกรณี ส.ว.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยความสิ้นสุดการเป็นรัฐมนตรี กรณีการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  นายเศรษฐาคงทำเป็นใจดีสู้เสือ มั่นใจว่าตัวเองได้ดำเนินการถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแล้ว เพราะยึดคำหารือของคณะกรรมการกฤษฎีกา มาตรา 160 (6) (7) แต่ไม่ได้หารือมาตรา 160 (4) (5) ซึ่งเป็นข้อหารือที่ไม่ครบถ้วน และคงจะเชื่อข้อมูลของนายพิชิต ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ต้องตีความเข้าข้างตัวเอง เมื่อการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของนายพิชิตขัดต่อรัฐธรรมนูญ  นายเศรษฐาจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวาย และรับสนองพระบรมราชโองการ เป็นการจงใจฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ผลที่ตามมาก็คือ

1.ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับวินิจฉัยคำร้องดังกล่าวแล้ว จะต้องพิจารณาในท้ายคำร้องของ 40 สว. ที่ให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วย ซึ่งโดยหลักปฏิบัติที่ผ่านมา จะเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง  ปัญหาที่ตามมาก็คือ ถ้าหากนายเศรษฐา หยุดปฏิบัติหน้าที่ อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง

จับตามติศาล รธน. 23 พ.ค.

2.ถ้าหากในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใครจะมาเป็นนายกฯ คนใหม่ ในอดีตที่ผ่านมา สามารถเทียบเคียงกันได้กับกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อหลุดจากตำแหน่งไปแล้ว มีการสนับสนุนให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาเป็นนายกฯ แทน ในครั้งนี้ถ้าหากนายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งไป จะสนับสนุนให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะมาเป็นนายกฯ นั้น  ไม่ใช่เรื่องง่าย ดีลการเมืองเดิมมีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง ฝ่ายอนุรักษนิยมจะเห็นด้วยหรือไม่ เว้นแต่ยังจำเป็นต้องยืมมือนายทักษิณมาสู้กับพรรคก้าวไกลต่อไป

"จึงขอให้รอดูผลการประชุมของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้ว่า  ผลออกมาอย่างไร ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเมืองไทยอีกครั้งหนึ่ง" นายเทพไทระบุ

นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์หลังมีสมาชิกพรรคหลายคนลาออกทำให้เกิดกระแสข่าวพรรคใกล้แตกว่า เป็นแค่ข่าวลือ ซึ่งในความเป็นจริง สส.และสมาชิกพรรคทุกคน มั่นใจและรู้กันดีว่า รทสช.เรายังเหนียวแน่น ทำงานเป็นทีม มีการแบ่งหน้าที่กันทำในส่วนต่างๆ ไม่ได้มีการแบ่งก๊กแบ่งก๊วนแบ่งกลุ่มตามที่มีข่าว ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดถึงมีข่าวในลักษณะนี้ออกมา เป็นเรื่องธรรมดาของพรรคการเมืองที่มีคนออกคนเข้า ซึ่ง รทสช.ก็เช่นกัน  มีคนทั้งรุ่นเก่า รุ่นกลาง และรุ่นใหม่ มีทุกรุ่นขอเข้ามาร่วมงานกับพรรคอีกจำนวนมาก สมาชิกทุกคนมั่นใจในการนำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมาอย่างเข้มแข็งต่อเนื่อง

เมื่อถามว่า แกนนำคนสำคัญที่ลาออกจากสมาชิกพรรคหลายคน ทั้งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ที่ถูกมองว่าเป็นคนของกลุ่มทุนของพรรคอาจเป็นสัญญาณเตือนทางการเมือง นายธนกรกล่าวว่า การบริหารพรรคการเมืองต้องให้เกียรติหัวหน้าพรรค  เลขาธิการพรรค รวมถึงกรรมการบริหารพรรค ที่จะโบกธงนำพาสมาชิกในการทำงานการเมือง ส่วนการลาออกถือเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล ยืนยัน รทสช.ยังคงเดินหน้าทำงานตามอุดมการณ์ดั้งเดิมตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ก่อตั้งพรรคไม่เปลี่ยนแปลง คือยึดมั่นการทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง การคงอยู่ของพรรคขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคน ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง

 “ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมีข่าวเรื่องพรรคแตกออกมา เพราะความจริง รทสช.เราเป็นทีมเดียวกันหมด ไม่มีก๊วน โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา ในงานสัมมนา สส.ของพรรค บรรยากาศดี เป็นไปอย่างชื่นมื่น ไม่มีการตั้งก๊ก แบ่งก๊วนอย่างที่เป็นข่าว" นายธนกรกล่าว

ที่ภิรัช ฮอลล์ ไบเทค บางนา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ก่อนงานมหกรรมนโยบายพรรคก้าวไกล Policy Fest ครั้งที่ 1 ‘ก้าวไกล Big Bang’  ถึงกระแสยุบพรรคก้าวไกลว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ขยายเวลาการส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในต้นเดือน มิ.ย.นี้ ก็พร้อมที่จะยื่น โดยได้มีการเตรียมเอกสารไว้แล้ว ซึ่งในทางการต่อสู้ต้องแก้ข้อกล่าวหามาตรา 91 และมาตรา 92 ขณะเดียวกันต้องใช้หลักฐานจากภายนอก ซึ่งข้อกล่าวหาในคำร้องคดีนี้แตกต่างจากคำร้องคดีล้มล้างการปกครองเมื่อช่วงปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ได้เตรียมใจตั้งแต่วันแรกตั้งแต่เป็นนักการเมือง ที่จะรองรับเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญหน้า

รู้ทันพรรคไหนจ้องดูด สส.ก.ก.

นายพิธากล่าวว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดถึงพรรคสำรอง ตอนนี้ขอโฟกัสเรื่องงาน แม้จะมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล มั่นใจว่า สส.ในพรรคกว่า 150 คนจะคงไปสังกัดพรรคใหม่ ยืนยันว่าจะทำทุกอย่างให้ทุกคนได้ไปอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แค่คนที่รอดหรือไม่รอด โดยไม่ห่วงว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยโดนดูด สส.อย่างตอนยุบพรรคอนาคตใหม่

"ผมฟังแต่ยังไม่เชื่อ ไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าพรรคไหนต้องการที่จะได้ไป เพื่อให้มีโควตา สส.เอาไว้ต่อรองใน ครม. หรืออาจจะมีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้น อย่าง 2-3 วันที่ผ่านมา ก็รับฟังทุกเรื่อง  ขณะเดียวกันเป็นการบ่อนเซาะทำลายความเชื่อมั่นของพรรคในช่วงที่แย่ ซึ่งก็ได้เตือนผ่านหัวหน้าพรรค และช่วยพูดกับคนในพรรคว่ายังคงฟังซึ่งกันและกัน จะไม่ล่าแม่มดหรือกล่าวหาว่าเป็นใครในพรรคหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ความเชื่อมั่นในพรรคหายไป และทำให้การดูด สส.ง่ายขึ้น ขอให้ทุกคนหนักแน่นกับพรรคก้าวไกล"   นายพิธากล่าว

นายพิธากล่าวต่อว่า หากให้อธิบายเรื่องข้อกฎหมายต่อศาลว่าพรรคก้าวไกลไม่มีเจตนาล้มล้างการปกครอง เพราะการล้มล้างคือการทำรัฐประหาร การร่วมมือกับรัฐบาลต่างประเทศ การแบ่งแยกแผ่นดินหรือการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง ยืนยันว่าสิ่งที่พรรคทำมีเจตนาดีต่อการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันในประเทศไทยผ่านนิติรัฐ นิติธรรม และความศรัทธา

ในงานมหกรรมนโยบายพรรคก้าวไกล Policy Fest ครั้งที่ 1 ‘ก้าวไกล Big Bang’ มีนายพิธาปาฐกถาพิเศษหัวข้อ ‘Why 6 Big Bang ระบุว่า วันนี้เป็นวันที่พิสูจน์ว่า พรรคก้าวไกลไม่เหมือนพรรคอื่น และเรามีโปรเจกต์ทางการเมือง มีวาระทางการเมือง 6 อย่าง ที่หากปล่อยทิ้งไว้จะเป็นระเบิดเวลาของประเทศ แต่ถ้าพวกเราตั้งใจทำงาน ตั้งใจสร้างนโยบายการเมืองให้เป็นเรื่องสนุก ผมเชื่อว่าเราสามารถเปลี่ยนระเบิดเวลา 6 ลูกนี้ ให้กลายเป็นศักยภาพของประเทศไทยได้

นายพิธากล่าวว่า ไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ชอบพรรคก้าวไกล ไม่ว่าจะเลือกหรือไม่เลือกพรรคก้าวไกล ทุกคนต้องยอมรับว่าทศวรรษที่สูญหายตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ยึดอำนาจจนถึงการเลือกตั้ง นี่คือการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์ที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด บริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุด นี่คือพฤษภาคมแห่งความหวัง ที่พี่น้องประชาชนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่ารวยดีมีจน คนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นใหญ่ มีแนวคิดอนุรักษนิยมหรือก้าวหน้า ทุกคนเข้าคูหา และไม่ว่าจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของพรรคก้าวไกล ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคก้าวไกลชนะอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการซื้อเสียงเลยแม้แต่บาทเดียว

นายพิธายกตัวอย่างดัชชี้วัดและสถิติต่างๆ ที่ลดลงของประเทศในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา พร้อมยกสมการความหวัง โดยอธิบายถึงการทำงานของฝ่ายค้านเชิงรุก ที่ควรมีส่วนประกอบของ 1.ผู้นำที่เข้มแข็ง 2.ประชาชนที่พร้อมแข่งขัน 3.ความเชื่อใจในกันและกัน ว่าถ้าประเทศไหนมี 3 องค์ประกอบนี้ ประเทศนั้นจะมีความหวังเสมอ

โวครั้งหน้าชนะ 270-300 เสียง

 “นี่คือ 6 Big Bang ของประเทศไทย ที่ถ้าเราทิ้งไว้จะเป็นระเบิดเวลา แล้วคนรุ่นต่อไปจะต้องมาแก้ไข แต่ถ้ารัฐบาล พรรคการเมือง หรือผู้นำเข้มแข็ง มีวิสัยทัศน์ พอที่จะสามารถลงทุนกับประชาชนให้มีความเข้มแข็งและมีความเขื่อมั่นซึ่งกันและกัน ไม่ใช่กับถนน ผ้าม่าน สัมมนาอะไรไม่รู้ ถ้าบอกว่าวาระการทำงานของรัฐบาลคืออะไร ผมนึกไม่ออก แต่ผมก็ไม่อยากเป็นคนที่ค้านทุกเรื่อง หากพรรคตัวเองไม่มีวาระ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็รับไม่ได้เหมือนกัน แล้วอะไรคือวาระทางการเมืองของคุณที่จะเอาภาษีของพี่น้องประชาชน เอาความไว้วางใจที่มั่นใจว่าคราวหน้าจะได้มากขึ้นอีก สงสัยคราวหน้าต้อง 270 เสียงซะแล้ว หรือจะเอา 300 เสียง ตามตรรกะคูณ 2 แต่ผมไม่ได้พูดเล่นๆ ไม่ได้พูดเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีวาระที่ต้องการจะขับเคลื่อน"

นายพิธากล่าวถึงวาระดังกล่าวว่า ถ้าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ ก็สามารถพูดได้  และเข้ามีส่วนร่วมได้ ซึ่งประกอบไปด้วย 6 ข้อ แบ่งเป็น วาระเฉพาะหน้า 1.เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีคุณภาพ 2.เรียนรู้ทันโลก 3.ยกระดับคุณภาพชีวิต และวาระเฉพาะกาล 4.ปลดล็อกชนบทไทย 5.ปฏิรูปรัฐครั้งใหญ่ 6.ประชาธิปไตยเต็มใบ         

ด้านนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค ก.ก. กล่าวปาฐกถา หัวข้อ 'อนาคตการเมืองไทย' ตอนหนึ่ง ว่า การสร้างประชาธิปไตยในสังคมไทยแค่การเลือกตั้งไม่เพียงพอ เพราะยังต้องมีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ รวมถึงปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปสถาบันฯ ปฏิรูปตุลาการ เพื่อให้อำนาจของประชาชน ที่เราบอกว่าเป็นอำนาจสูงสุดในระบอบประชาธิปไตยนั้นปรากฏขึ้นเป็นจริง การจัดตั้งรัฐบาลในชุดปัจจุบัน เป็นการสะท้อนถึงการจัดตั้งรัฐบาลของชนชั้นนำอย่างโจ่งแจ้งล่อนจ้อน เมื่อเป็นการเมืองของชนชั้นนำ สิทธิของแต่ละคนย่อมลดหลั่นกันไปตามสถานภาพทางสังคม

นายชัยธวัชกล่าวต่อว่า ชนชั้นนำพยายามทำให้เราเชื่อว่า เมื่อประเทศเกิดวิกฤต เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยวิถีทางประชาธิปไตย และต่อให้สุดท้ายการเมืองไทยจะไม่สามารถปฏิเสธระบอบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งได้ พวกเขาก็พยายามจะออกแบบประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่ไม่ยอมให้อำนาจที่มาจากการเลือกตั้งอยู่เหนืออำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเป็นอันขาด ไม่ยอมปลดล็อกประเทศ ถอยออกจากโครงสร้างรัฐซ้อน รัฐ กองทัพอยู่เหนือพลเรือน รวมทั้งระบบบริหารแบบรัฐราชการรวมศูนย์ ที่สืบทอดมากกว่า 100 ปี

 “การเลือกตั้งเมื่อ 14 พ.ค.66 เป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่บ่งชี้ข้อเท็จจริงอันนี้ การเมืองไทยจึงกำลังเดินเข้าสู่บทใหม่ ที่สิ่งเก่ากำลังจะตาย และสิ่งใหม่กำลังจะเกิด สุดท้ายสังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับดุลยภาพใหม่ หรือฉันทามติใหม่ ระหว่างการเมืองของชนชั้นนำกับการเมืองของประชาชน ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญนี้ การเมืองแบบชนชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน ล้วนมองว่าการเมืองแบบพรรคก้าวไกลเป็นภัยคุกคามต่อตนเองทั้งสิ้น แต่พวกเราพรรคก้าวไกลจะเป็นสะพานเชื่อมแห่งยุคสมัย เชื่อมสังคมไทยแบบเก่ากับสังคมไทยแบบใหม่ และเชื่อมความฝัน ความหวัง กับความเป็นจริง วันนี้พวกเราพร้อมแล้ว ที่จะก้าวไกลไปกับทุกคน สถาปนาการเมืองของประชาชน เพื่อประชาชน" นายชัยธวัช กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง