ก้าวไกลเตรียมรับทุกสถานการณ์

ไทยโพสต์ ๐ "ชัยธวัช" เชื่อก้าวไกลไม่ถูกยุบ เพราะคดีเสนอแก้ ม.112 กับคดีหาเสียงแก้ ม.112 เป็นคนละคดีกัน คนละกฎหมาย คนละข้อเท็จจริง แต่พร้อมเตรียมรับทุกสถานการณ์ "รังสิมันต์" ซื่อตาใสถามมีคนถูกดำเนินคดี ม.112 มาก  ทำให้สังคมไทยเกิดความขัดแย้งหรือไม่

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2567 นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล  กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลายื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหาคดียุบพรรค ฐานกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นครั้งที่ 3 อีก 15 วันว่า ได้ตรวจดูคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และได้เตรียมความพร้อมไว้หมดแล้วสำหรับยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตามกำหนดระยะเวลาก่อนหน้านี้ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาตามที่ฝ่ายกฎหมายยื่นไป ก็จะได้มีเวลาทบทวนให้ดีที่สุด ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อศาลอนุญาตให้ขยายไปอีก 15 วัน ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

"ช่วงต้นเดือนมิถุนายนก็จะครบกำหนดในการต้องยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลังจากยื่นอย่างเป็นทางการไปแล้ว พรรคก้าวไกลจะแถลงต่อสาธารณะอีกครั้ง เพื่ออธิบายประเด็นข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกลให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ หลังจากนั้นต้องรอดูว่าศาลจะอนุญาตให้ไต่สวนหรือไม่อย่างไร จะเรียกพยานมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมต่อศาลหรือไม่"

สำหรับการประเมินผลลัพธ์ที่จะออกมานั้น หัวหน้าพรรคก้าวไกลยืนยันว่า แม้ก่อนหน้านี้จะมีคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญให้เรายุติการกระทำ แต่ไม่ได้เท่ากับว่าจะพิจารณายุบพรรคได้เลยตามอัตโนมัติ เพราะเป็นคนละคดีกัน คนละกฎหมายกัน การพิจารณาให้ยุติการกระทำกับการพิจารณาให้ยุบพรรคมีรายละเอียดในแง่ข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกล ที่เห็นว่ามีเหตุผล ที่จะไม่พิจารณายุบพรรคในกรณีนี้ ส่วน ผลคำวินิจฉัยของศาลจะออกมาอย่างไร  พรรคก้าวไกลก็ต้องเตรียมรับกับทุกสถานการณ์

นายชัยธวัชยังกล่าวถึงการจัดกิจกรรม Policy Fest ครั้งที่ 1 ก้าวไกลบิ๊กแบง ว่าเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งที่ได้วางเป้าหมายของพรรคในการเป็นฝ่ายค้านเชิงรุก แม้จะเป็นฝ่ายค้าน แต่งานสำคัญมากๆ คือการเตรียมพร้อมที่จะเป็นรัฐบาลบริหารประเทศหลังจากนี้ ดังนั้นจะยกระดับการทำงานเชิงนโยบายเข้มข้นมากขึ้น เพื่อลงรายละเอียดให้พรรคมีความพร้อมบริหารประเทศในระดับปฏิบัติให้ได้เมื่อประชาชนไว้วางใจ

ส่วนการจัดงานของพรรคก้าวไกล  เป็นเพราะต้องการตอบโต้หรือบลัฟกลับพรรคเพื่อไทยที่มีการแถลง 10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10 หรือไม่นั้น หัวหน้าพรรคก้าวไกลยืนยันว่า ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะงานของพรรคก้าวไกลกำหนดไว้นานแล้ว เลื่อนไปล่าช้ากว่าเดิมที่ควรจะเป็น เพราะติดจังหวะเวลาเรื่องคดีในศาลรัฐธรรมนูญเลื่อนมาหลายครั้ง เดิมตั้งใจจะจัดใหญ่กว่านี้ ใช้เวลา 2-3 วัน เมื่อเลื่อนไปเลื่อนมา จึงย่อขนาดลง แต่ถือเป็นการคิกออฟการทำงานนโยบายอย่างจริงจังของพรรคหลังจากนี้

นายชัยธวัชยังประเมินการทำงานของรัฐบาลหลังผ่านการเลือกตั้งมา 1 ปีแล้วว่า ในสายตาพรรคฝ่ายค้านและในสายตาของประชาชน ที่จับสัญญาณความรู้สึกโดยทั่วไปและสัญญาณจากสื่อมวลชน ต้องยอมรับว่าประชาชนคาดหวังจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในทางเศรษฐกิจและการเมืองจากรัฐบาลชุดใหม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดใหม่ยังสอบไม่ผ่าน จึงเป็นโจทย์สำคัญว่าหลังจากนี้ความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมนั้น รัฐบาลจะนำพาประเทศไปทางไหน ยุทธศาสตร์จะเป็นอย่างไร มีโรดแมปอย่างไร รัฐบาลต้องพยายามมากกว่านี้ และเมื่อจุดเริ่มต้นของรัฐบาลมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางการเมืองด้วย ก็ยิ่งทำให้เป็นอุปสรรคต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่รัฐบาลต้องทำงานหนักขึ้น

ด้านนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เรียกนายคารม พลพรกลาง สมาชิกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในฐานะอดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ​เป็นพยานสอบกรณีสส.พรรคก้าวไกล​เสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่า ยืนยันว่าการทำหน้าที่ของพวกเราเป็นการทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งไม่มีกฎหมายห้ามในการยื่นแก้ไขกฎหมาย ก็เป็นการทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งตนคิดว่าคงมีขั้นตอนทางกฎหมายที่เราในฐานะ สส.ต้องพิสูจน์ในข้อเท็จจริง สุดท้ายหากมีการใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบทำตามกฎหมายในการกลั่นแกล้ง เราก็ไม่ยอม เราก็ต้องสู้จนถึงที่สุดเช่นเดียวกัน

ส่วนที่นายคารมระบุว่า ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวให้นิรโทษกรรมผู้ที่มีคดีตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งจะทำให้สส.ที่ลงชื่อแก้ไขกฎหมายได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ด้วย นายรังสิมันต์กล่าวว่า   คิดว่าการนิรโทษกรรมแล้ว อาจจะมี สส.บางส่วนได้ประโยชน์จากตรงนี้ เราต้องแยกกัน การนิรโทษกรรมคดีการเมืองไม่ใช่เรื่องที่เราเพิ่งจะพูด เป็นเรื่องที่พูดกันมานานแล้ว ตนว่าเรื่องนี้เราไม่ควรเอามาเชื่อมโยงว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์อะไร ถามว่ามีคนจำนวนมากหรือไม่ที่ถูกดำเนินคดีด้วยข้อหา 112 ตลอดระยะเวลาการรัฐประหารในปี 2549 เป็นต้นมา

               เขาบอกว่า ประเด็นหลักเราต้องยอมรับว่าหากมีคนถูกดำเนินคดีมากขนาดนี้ ต้องถามต่อว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สังคมไทยเกิดความขัดแย้งหรือไม่ ดังนั้นการเสนอของพรรคก้าวไกล​ก็เสนอว่าอย่าเพิ่งระบุข้อหาอะไรในการนิรโทษกรรมเลย เพราะเราทราบว่าการนิรโทษกรรมเป็นกระบวนการที่ใช้เวลา จำเป็นต้องมีการพูดคุยเพื่อหาข้อยุติ เราอยากเริ่มด้วยการตั้งต้นว่า หากมีแรงจูงใจทางการเมือง ไม่ว่าคดีอะไรก็จะมีโอกาสที่จะนำไปสู่การนิรโทษกรรมได้หมด แต่ในทางปฏิบัติ เราต้องอาศัยการพูดคุย การนิรโทษกรรมสามารถทำได้หลายรูปแบบ อย่างการกำหนดเงื่อนไขบางอย่างที่จะพอช่วยให้สังคมกลับมาเดินหน้าได้อีกครั้ง

“ถามตรงๆ เอาคนที่เป็นนักกิจกรรมการเมือง เอาคนที่มีความเห็นต่างทางการเมืองไปขัง สังคมไทยได้อะไรขึ้นมา ตนคิดว่ามีแต่จะทำให้สังคมแก้ปัญหาทางการเมืองที่เรื้อรังไม่จบสักที” นายรังสิมันต์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง