พิชัย-เศรษฐพุฒิ เคลียร์ใจชื่นมื่น! ให้โจทย์อุ้มSME

ชื่นมื่น! “พิชัย” เผยจับเข่าเคลียร์ใจ “เศรษฐพุฒิ” 2 ชั่วโมงฉลุย คุยกันด้วยหลักการ เข้าใจกันเป็นอย่างดี โยนการบ้านเขย่าแบงก์ผ่อนเกณฑ์อุ้มเอสเอ็มอี-ครัวเรือนเข้าถึงแหล่งทุน ยันให้อิสระคุมดอกเบี้ยนโยบาย

เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ในครั้งนี้เป็นการนัดหารืออย่างไม่เป็นทางการ เพื่อพูดคุยในสิ่งที่แต่ละฝ่ายเข้าใจ โดยผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ผิดความคาดหมาย เพราะทั้ง 2 ฝ่ายคุยกันด้วยหลักการ และหลังจากนี้เชื่อว่านโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะสอดประสานกันมากที่สุด

"วันนี้คุยกันดี จริงๆ ผมเป็นคนพูดภาษาเดียวกันอยู่แล้ว เราไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน บางเรื่องนายเศรษฐพุฒิพูดมา ผมแย้งไป บางเรื่องผมพูดไปนายเศรษฐพุฒิก็ชี้แจงมา สุดท้ายก็เป็นการพูดคุยกัน ที่ผมเข้าใจอย่างนั้น เพราะเคยนั่งเป็นกรรมการ ธปท.มาก่อน ผมเข้าใจในวิธีการทำงานเป็นอย่างดี ความเข้มงวดในการดำเนินนโยบายมีข้อดี คือเมื่อเข้มงวดมาก สถาบันการเงินก็มีความเข้มแข็ง"   นายพิชัยกล่าวเมื่อถามว่า ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันระหว่างคลังกับ ธปท.หายไปแล้วหรือไม่ 

รมว.การคลังกล่าวว่า มีการหารือในประเด็นสำคัญคือการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นหน้าที่ของ ธปท. และคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่จะใช้วิจารณญาณ เครื่องมือและผลการวิเคราะห์ เพื่อกำหนดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 1-3% ตามหลักการจะมีการทบทวนทุกปี ตรงนี้เห็นว่าต้องปล่อยให้หน่วยงานทำหน้าที่ต่อไป ธปท. และ กนง.มีวิธีคิดของตัวเอง และอาจจะมองไปอีก 6-9 เดือนว่าเงินเฟ้อจะเข้ากรอบหรือไม่ แล้วค่อยมานั่งคุยกัน แต่สิ่งที่เห็นตรงกันคือปัญหาของภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ในเรื่องการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งมองว่าเป็นประเด็นใหญ่กว่าเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายว่าจะสูงขึ้นหรือต่ำลง

 “วันนี้คุยกันเกือบ 2 ชั่วโมง ผมได้บอกว่าอยากทำเพื่อให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รายย่อยและภาคครัวเรือน ผู้กู้รายเดิมที่ยังมีปัญหา หรือกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัวจากโควิด-19 สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น อยากฝากให้ ธปท.ไปพิจารณาดูเพื่อปรับปรุงแนวทางให้กลุ่มดังกล่าวเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น เพราะที่ผ่านมา ธปท.ได้มีการออกประกาศมาหลายฉบับ และส่งไปที่สถาบันการเงินว่าเรื่องนี้ให้ทำอย่างไร ก็มองว่าตรงนี้ต้องมาหารือกันอีกครั้งเพื่อให้เข้าใจตรงกัน เพราะมีทั้งข้อที่เรารู้สึกว่ายืดหยุ่นได้ไหม และเรื่องนี้ต้องมีกรอบเวลาในการดำเนินการ คงรอไม่ได้ และเชื่อว่าสถาบันการเงินหลายๆ แห่งก็อยากเข้ามาช่วยในส่วนนี้” นายพิชัยกล่าว

นายพิชัยกล่าวอีกว่า ไม่อยากให้เรียกว่าเป็นการให้ผ่อนเกณฑ์การเข้าถึงแหล่งเงินทุน แต่เชื่อว่าสถาบันการเงินจะมีวิธีที่ดีในการยืดหยุ่นตรงนี้ภายใต้กรอบที่สามารถทำได้ เพราะมองว่าทั้งหมดเป็นการทำเพื่อแก้ปัญหาภาพรวมการเข้าถึงสินเชื่อ หากแก้ไขส่วนนี้ได้ ผลที่ได้คือยอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะลดลง และกลุ่มเอสเอ็มอี รายย่อย และภาคครัวเรือนที่มีปัญหา จะมีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น

ส่วนในเรื่องว่า ธปท.จะมีการทบทวนอัตราดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่นั้น รมว.การคลังกล่าวว่า คงต้องปล่อยให้อิสระและให้ดำเนินการตามวิถีทางของ ธปท. และมองว่าปัญหาอัตราดอกเบี้ยต่ำหรือสูงไม่ได้เป็นปัญหา แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญคือการเข้าถึงสินเชื่อของประชาชน ควรเป็นสิ่งแรกที่จะต้องทำ โดยหากถามประชาชนว่า หากให้อัตราดอกเบี้ยต่ำลงครึ่งเปอร์เซ็นต์ กับการเข้าถึงสินเชื่อ คนก็น่าจะเลือกการเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นมากกว่า ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยนั้น คลังจะไม่แตะ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องดูหลายอย่าง

นายพิชัยกล่าวด้วยว่า หลังจากนี้กระทรวงการคลังคงจะมีการหารือร่วมกับ   ธปท.บ่อยมากขึ้น จากนี้ต่างคนคงต้องกลับไปนั่งทำการบ้าน โดยเฉพาะเรื่องการทำให้กลุ่มที่มีปัญหาสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ส่วนประเด็นที่เห็นสอดคล้องกันคือ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่าง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นสิ่งที่รัฐบาลเร่งทำอยู่ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ทำเสร็จใน 1-2 ปี เพราะเราผ่อนมาหลายปี

ด้านนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง เปิดเผยว่า ไม่ได้เข้าร่วมการหารือด้วย แต่ส่วนตัวคิดว่าภายหลังการหารือกันในครั้งนี้ ผลที่ออกมาน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี การที่ได้คุยกัน ได้เปิดเผยกัน ได้มาถกกันลงในรายละเอียด น่าจะนำไปสู่ข้อสรุปที่มีความชัดเจนมากขึ้น อาจจะยังไม่เข้าใจตรงกัน 100% แต่น่าจะเข้าใจตรงกันมากขึ้น ซึ่งเชื่อมั่นว่าน่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นแน่นอน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง