คลังเคลียร์ธปท. แดงดี๊ด๊ารับแม้ว

"เซลส์แมนนิด" เปิดงาน SUBCON Thailand 2024 ย้ำจุดยืนไทยไม่เป็นคู่ขัดแย้งใคร มุ่งค้าขายอย่างเดียว เดินหน้าเข็นบิ๊กโปรเจกต์แลนด์บริดจ์ ชี้สำคัญกว่า "ซื้อเรือดำน้ำ-เครื่องบินรบ" พร้อมนำนักธุรกิจเยือน "ฝรั่งเศส-อิตาลี-ญี่ปุ่น" ดึงร่วมลงทุนไทย "พิชัย" ได้ฤกษ์ 16 พ.ค.เคลียร์ใจ "ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ" ย้ำนโยบายการเงิน-การคลังต้องสอดคล้องกัน "บิ๊กจิ๋ว" เปิดบ้านฉลองเบิร์ธเดย์ 92 ปี หยอก "ทักษิณ" ทำให้ประเทศชาติเจริญไม่อย่างนั้นจะโดนเตะ "เสื้อแดง" อีสานคึกคักรอต้อนรับ "แม้ว" มางานศพคนขับรถคู่ใจที่โคราช

ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา วันที่ 15 พ.ค. เวลา 09.45  น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี  เป็นประธานในพิธีเปิดงาน SUBCON Thailand 2024 พร้อมกล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันโลกอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านทั้งเรื่องของสถานการณ์โลก ซึ่งเป็นเรื่องที่เปราะบางมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามการค้าระหว่างประเทศจีนกับสหรัฐอเมริกา และสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน หรือแม้กระทั่งฮามาสกับอิสราเอล ซึ่งประเทศเราถูกเอฟเฟกต์เป็นอย่างมาก แต่การดำเนินการนโยบายความเป็นกลางของไทยมาตลอดในช่วงหลายรัฐบาลที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงรัฐบาลนี้ความเป็นกลางและจุดยืนทางด้านการเมืองที่เราไม่เป็นคู่ขัดแย้ง เราเป็นผู้ที่สนับสนุนให้มีความสงบในทุกภูมิภาค ถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งสำหรับคนไทยทุกคน

นายเศรษฐากล่าวว่า เราสนับสนุนให้มีจุดยืนที่เป็นกลางทางด้านการเมือง ก็ส่งผลในเชิงบวกอย่างมหาศาลให้กับภาคอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศไทย ซึ่งประธานผู้แทนการค้าไทย  เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เดินทางไปต่างประเทศกับตน เรื่องแรกที่ทุกคนพูดถึงเรื่องมาตรการสนับสนุนภาษีที่เราไม่เป็นสองรองใคร เราคำนึงถึงภาษีของพี่น้องประชาชน คำนึงถึงความต้องการของผู้ผลิตหลายท่านที่ต้องการแรงจูงใจ

นอกจากนี้ ในเรื่องสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นทวีปตะวันออกกลางหรือในสหภาพยุโรป (อียู) หรือในอังกฤษก็ตาม มีการเร่งทำตรงนี้ เพื่อให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด ตนเชื่อว่าเป็นที่น่าพอใจของนักลงทุนต่างประเทศ หากเขาย้ายฐานผลิตเข้ามา เราก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน เราไม่อยากเอ่ยชื่อประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่ง ตนมั่นใจว่าระบบต่างๆ ของเราถึงแม้จะต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่เราต้องเป็นต่อ ซึ่งรัฐบาลอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ เราก็จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องให้มีการแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นวันสต็อปเซอร์วิส ในการขนส่งสินค้าไปขายอย่างต่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และทางเขาก็มีความสบายใจในเรื่องการลงทุนตรงนี้

"อยากให้ทุกท่านสบายใจ คือทุกครั้งที่ผมเดินทางไปต่างประเทศกับคณะผู้แทน คำนึงถึงซัพพลายทั้งหมดของคนไทย และอุตสาหกรรมไทยที่อาจจะต้องคำนึงถึงว่าเขาจะอยู่ในห่วงโซ่ทั้งหมดในการผลิตของบริษัทใหม่ๆ ที่เข้ามาได้หรือไม่ ซึ่งทุกครั้งที่มีการเจรจาเรื่องเหล่านี้เราจะต้องบวกไปด้วยว่าคุณจะต้องมีการสอนเรื่องเทคโนโลยี และเอาประชาชนมาแลกเปลี่ยนกัน โดยเอานักวิศวกรรมมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกันเพื่อสนับสนุนความรู้ให้กับคนไทยด้วย เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไทยไปด้วยในการที่มีบริษัทใหญ่เข้ามา ซึ่งอยู่ในช่วงกรอบการต่อรองตลอดเวลา ฉะนั้นจึงอยากจะให้ทุกท่านสบายใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง" นายเศรษฐากล่าว

นายกฯ กล่าวถึงเรื่องท่าเรือน้ำลึกที่ปัจจุบันอยู่ในเฟส 3 ว่า แม้จะมีการดีเลย์ไปมาก แต่เราก็มีการตกลงกัน และเร่งให้ท่าเรือน้ำลึกเฟส 3 ให้เสร็จตามเวลาให้ได้ ถือเป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนและพอใจ เราไม่ได้มอง 3 ปีหรือ 5 ปี แต่เรามองไปถึง 10 ปี และ 20 ปีข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงการแลนด์บริดจ์ ถือเป็นโครงการใหญ่ ซึ่งตนมั่นใจว่าผลตอบแทนในการลงทุนจะเหมาะสม และมีความมั่นคงทำให้ประเทศเราสามารถเป็นจุดที่มีการเปลี่ยนผ่านสินค้าไปได้อย่างรวดเร็ว  ตอบโจทย์นักลงทุนทั่วโลก

แลนด์บริดจ์ดีกว่าซื้อเรือดำน้ำ

"โครงการแลนด์บริดจ์ผมไม่ได้มาขายนโยบายรัฐบาลอย่างเดียว แต่อยากจะเชื้อเชิญให้ทุกท่านมองไปให้ไกลในอนาคตด้วย เพราะกฎหมายระหว่างประเทศเรื่องภาษีจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ฉะนั้นการขนส่งทางเรือถือเป็นการลงทุนที่ถูกที่สุด และจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ฉะนั้นเราไม่ได้เป็นคู่แข่ง แต่เราเป็นตัวเสริมซึ่งกันและกันมากกว่าเป็นออปชันให้กับระบบการผลิตทั่วโลก ทำให้ประเทศไทยมีจุดยืนที่มั่นคงในเวทีการค้าโลก ถึงแม้การลงทุนวันนี้จะประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงอยู่ แต่มั่นใจว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน" นายเศรษฐากล่าว

นายกฯ กล่าวว่า การลงทุนตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่ให้ประโยชน์ ไม่ใช่แค่การค้าอย่างเดียว แต่จะเป็นเครื่องมือในการที่จะทำให้ประเทศไทยมีความแข็งแกร่ง และมีความเป็นกลาง เป็นสวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชียได้ ถ้าเกิดใครจะมาทะเลาะกับใครเราไม่สนใจ เราค้าขายอย่างเดียว เราอยากให้ประเทศไทยมีความมั่นคงตรงนี้ เราอยากให้นักธุรกิจ และนักอุตสาหกรรมทุกท่านที่มาลงทุนมีความสบายใจว่าใครจะทะเลาะกับใครก็ตามที แต่ประเทศไทยไม่เข้าข้างใคร เรายึดมั่นในความสงบสุข เราค้าขายอย่างเดียว เราจะทำให้เรื่องของกระบวนการผลิตไม่ถูกสะดุด ยืนยันว่าโครงการแลนด์บริดจ์ก็จะเป็นโครงการที่สำคัญมากกว่า เช่น การซื้อเรือดำน้ำหรือเครื่องบินรบก็ตามที

นายเศรษฐายังกล่าวถึงเรื่องอุตสาหกรรมรถอีวีว่า รัฐบาลส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ให้มีการตั้งโรงงานรถไฟฟ้าอุตสาหกรรม ให้ไทยเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน และผู้ผลิตค่ายรถยนต์อีวีมีหลายรายก็กำลังเจรจาใกล้จะมีความสำเร็จแล้ว โดยตั้งเงื่อนไขให้มีชิ้นส่วนผลิตในประเทศไทยด้วย เชื่อว่าอุตสาหกรรมไทยจะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และทำให้เราเป็นเบอร์ 1 ในอาเซียน ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ตนยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง

 “ขอให้มั่นใจว่าที่ผมพูดทุกเวทีว่าประเทศไทยเปิดแล้วสำหรับการลงทุน  แต่ส่วนลึกของหัวใจทุกท่านมีความกังวลว่าต่างชาติจะเข้ามายึดครอง ยืนยันว่าเราพัฒนาควบคู่กันไป ประเทศไทยเปิดแล้ว รัฐบาลนี้ก็เปิดแล้ว ที่จะช่วยภาคอุตสาหกรรมท้องถิ่นและอุตสาหกรรมของประเทศไทย ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาห่วงโซอุปทานทั้งหมดของประเทศไทย เพื่อให้มีการเจริญเติบโตไปคู่กับประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว” นายกฯ กล่าว

นายเศรษฐาให้สัมภาษณเพิ่มเติมว่า  ดีใจที่งานนี้จัดมา 17 ปีแล้ว เป็นการนำนักอุตสาหกรรมของไทยและต่างประเทศมาพบและทำธุรกิจ และสิ่งที่ตอกย้ำคือมีบริษัทระดับเวิลด์คลาส มาตั้งโรงงานการผลิตที่ไทย ดังนั้นการใช้ชิ้นส่วนที่ประกอบและผลิตในเมืองไทย เป็นเรื่องที่ทุกบริษัทควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยจากการพูดคุยกับผู้บริหาร ได้ขอให้หารือกับผู้ประกอบการนักลงทุนในเรื่องนี้คือให้ใช้ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตขึ้นในไทยและประกอบที่ไทยเช่นกัน

นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในเวลา 23.30 น. (15 พ.ค.) นายกรัฐมนตรีจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 15-16 พ.ค. เพื่อนำคณะนักธุรกิจไทยร่วมงาน Thailand-France Business Forum ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการเดินทางเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 เป็นการจัดงานส่งเสริมการค้าระหว่างกันและสนับสนุนให้ภาคเอกชนฝรั่งเศสเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งในครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะพบหารือกับนายเอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เพื่อติดตามผลความร่วมมือระหว่างกัน โดยเฉพาะในด้านการค้าการลงทุน อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และ soft power ตลอดจนร่วมกันผลักดันประเด็นสำคัญ โดยเฉพาะการยกระดับความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส สู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ตามที่ระบุไว้ในแผนการ (Roadmap) การดำเนินความสัมพันธ์ไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.2022-2024

คลังได้ฤกษ์เคลียร์ใจ 'ธปท.'

จากนั้นระหว่างวันที่ 17-21 พ.ค.  นายกฯ จะไปเยือนสาธารณรัฐอิตาลีอย่างเป็นทางการ พบหารือกับนางจอร์จา เมโลนี นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอิตาลี ซึ่งในปี 2567 จะครบรอบ 156 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน พร้อมขยายความร่วมมือในสาขาที่ไทยและอิตาลีมีศักยภาพร่วมกัน ได้แก่ พลังงานหมุนเวียน การท่องเที่ยวเชิงกีฬา วิทยาศาสตร์การแพทย์และเภสัชกรรม และกลาโหม โดยนายกรัฐมนตรีจะผลักดันประเด็นสำคัญ เช่น การยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยในเขตเชงเกน และการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป ให้สามารถสรุปภายในปี 2568 (ค.ศ. 2025) รวมถึงประเด็นการรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากอิสราเอลไปทำงานในอิตาลีในอนาคต โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีจะพบหารือกับนาย Attilio Fontana ผู้ว่าการแคว้นลอมบาร์เดีย ซึ่งเป็นแคว้นที่สำคัญที่สุดด้านเศรษฐกิจของอิตาลีด้วย

"การเยือนในครั้งนี้จะเป็นโอกาสพบหารือภาคเอกชนรายใหญ่ระดับโลกของอิตาลี และนาย Carlo Capasa ประธาน the National Chamber of Italian Fashion โดยจะเชิญชวนภาคเอกชนอิตาลีให้มาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแฟชั่นและ Soft Power การเกษตรและอาหาร ยานยนต์ พลังงาน การเงินและพันธบัตร Sustainability Linked Bonds รวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์" นางรัดเกล้ากล่าว 

รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ในวันที่ 22-24 พ.ค. นายกฯ จะเดินทางไปยังกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาในการประชุม Nikkei Forum Future of Asia ครั้งที่ 29 ซึ่งหัวข้อหลักในปีนี้ คือ Asian Leadership in an Uncertain World พร้อมจะเสนอให้เอเชียมีความร่วมมือสำคัญ ได้แก่ 1.การเชื่อมโยงด้านการค้าการลงทุนเพื่อเปิดโอกาสธุรกิจ 2.เสริมสร้างความยั่งยืนโดยเน้นเศรษฐกิจและพลังงานสีเขียว 3.การร่วมมือเพื่อเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล และ 4.การปรับกระบวนทัศน์ของระบบพหุพาคีใหม่ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจของเอเชีย และก้าวข้ามสถานการณ์โลกที่ผันผวนท้าทาย

ที่กระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 16 พ.ค. มีนัดหารือกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อปรับความเข้าใจให้ตรงกัน และหารือถึงแนวทางในการดำเนินนโยบายการเงินและนโยบายการคลังในการดูแลเศรษฐกิจประเทศให้มีความสอดคล้องกัน

ถามถึงการแบ่งงานภายในกระทรวงการคลังใหม่ นายพิชัยกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการแบ่งงานใหม่ ตนต้องการดูแลกรมบัญชีกลางเพียงกรมเดียวเท่านั้น เพื่อให้มีเวลาประชุมงานที่เกี่ยวข้องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่หน่วยงานอื่นๆ ที่เหลือ ต้องการให้ รมช.ทั้ง 2 ท่านเป็นผู้ดูแล

"ส่วนตัวอยากได้คนที่มีความเชี่ยวชาญ มีความเก่งมาช่วยงานผมอีก 1ท่าน โดยเฉพาะโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่ขับเคลื่อนและเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง" นายพิชัยกล่าว

ส่วนนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า การทำนโยบายการคลังจำเป็นจะต้องสอดคล้องกับนโยบายการเงิน ซึ่งความสัมพันธ์กับ ธปท.เป็นสิ่งสำคัญ ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ละมุนละม่อม ต้องทำงานร่วมกันให้ได้ ต้องเติมเต็มซึ่งกันและกัน รวมถึงต้องไปด้วยกันให้ได้ ขณะที่ในส่วนของกระทรวงการคลังเองก็ต้องยืนหยัดอยู่บนหลักการของนโยบายการคลังว่าเรามีหลักคิดอย่างไร ต้องยึดมั่น แต่ก็ต้องทำงานร่วมกันกับ ธปท.ให้ได้

 “จริงๆ จุดต่างของคลังและ ธปท.คือการประเมินเศรษฐกิจที่ยังไม่ตรงกัน แต่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยการคุยกันบ่อยๆ และคุยกันในเชิงประสิทธิภาพ เพื่อทำให้สามารถมองเศรษฐกิจได้ใกล้เคียงกันว่าปัจจุบันเศรษฐกิจอยู่ในสถานภาพไหน ซึ่งผมเชื่อว่าถ้ามองเศรษฐกิจในสถานภาพที่ตรงกัน ก็จะทำให้มีนโยบายการคลังและนโยบายการเงินที่เหยียบคันเร่งและเหยียบเบรกได้พร้อมกันมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังต้องมีการคุยกันให้มากขึ้น และมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ฝั่งการคลังและฝั่งการเงินจะต้องมีการหารือร่วมกัน” นายเผ่าภูมิกล่าว

แดงอีสานรับแม้วมาโคราช

วันเดียวกัน ที่บ้านพักวอเตอร์เฮ้าส์ ถนนกาญจนาภิเษก ย่านรามอินทรา พล.อ.อ.ชากร ตะวันแจ้ง รองเสนาธิการทหาร เป็นตัวแทน พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พร้อมคณะนายทหารจากกองบัญชาการกองทัพไทย ได้นำกระเช้าผลไม้เข้าอวยพร เนื่องในวันคล้ายวันเกิด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ครบรอบ 92 ปี รวมทั้ง พล.อ.ณัฐวุฒิ นาคะนคร ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก เป็นตัวแทนผู้บัญชาการทหารบก พร้อมคณะนายทหารกองทัพบก นำกระเช้าผลไม้เข้าอวยพรเช่นกัน

ทั้งนี้ เวลา 07.00 น. พล.อ.ชวลิตได้นิมนต์เจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุฯ มาเจริญพระพุทธมนต์และฉันภัตตาหารเช้าภายในบ้าน โดยมี พล.อ.วิชิต ยาทิพย์, พล.อ.ศรชัย มนตริวัต อดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการของ พล.อ.ชวลิตมาร่วมทำบุญ โดยมีคุณอรทัย สรการ ยงใจยุทธ ร่วมด้วย ส่วนเวลา 17.00 น.พล.อ.ชวลิตได้จัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิด โดยได้เชิญบรรดานายทหารชั้นผู้ใหญ่ พ่อค้า นักธุรกิจ มาร่วมงาน

พล.อ.ชวลิตได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าว  เมื่อถามว่าในวันเกิดอยากได้อะไร อยากเห็นชาติบ้านเมืองเป็นอย่างไร พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า เป็นห่วงชาติบ้านเมืองเสมอ ก็อยากให้กำลังใจทุกคนที่กำลังทำเพื่อประเทศชาติ รวมทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีด้วย

เมื่อถามว่า อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กลับมาอยู่ประเทศไทยแล้วอยากพบบ้างหรือไม่ พล.อ.ชวลิต ยิ้มพร้อมกล่าวว่า "ผมเป็นคนชวนให้นายทักษิณเข้ามาทำงานทางการเมือง และ ให้มาเป็นรองนายกรัฐมนตรี"

"ขอให้ทำให้ดีๆ ทำให้ประเทศชาติเจริญนะ ไม่อย่างนั้นจะโดนเตะ" พล.อ.ชวลิตกล่าวอย่างอารมณ์ดี

ที่ศูนย์ประสานงานเครือข่ายสตรี 20 จังหวัดภาคอีสาน ซึ่งตั้งอยู่ที่เลขที่ 111/1 หมู่บ้านเลคไซค์การ์เด้นวิลล์ ริมบึงหนองโคตร ต.บ้านเป็ด อ.เมืองฯ จ.ขอนแก่น ผศ.ดร.พรรณวดี ตันติศิรินทร์ ที่ปรึกษาเครือข่ายสตรี 20 จังหวัดภาคอีสาน และอดีตแกนนำคนเสื้อแดงขอนแก่น เปิดเผยว่า ขณะนี้คนเสื้อแดงในภาคอีสานตื่นเต้นและดีใจที่จะได้พบกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางมาภาคอีสานในรอบ 18 ปี ภายหลังจากที่มีความชัดเจนว่านายทักษิณ นายกรัฐมนตรีในดวงใจ จะเดินทางมาเป็นประธานงานฌาปนกิจนายวิชัย ช่างเหล็ก คนขับรถคู่ใจ ซึ่งมีกำหนดฌาปนกิจในวันที่ 25 พ.ค. ที่วัดสังฆชินาราม ม.3 ต.โนทอง อ.สีดา จ.นครราชสีมา

ผศ.ดร.พรรณวดีกล่าวว่า ขณะนี้แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง, กลุ่มแนวร่วม นปช.แม้กระทั่งคนที่รักในตัวคุณทักษิณ มีการนัดหมายและพูดคุยถึงการเดินทางมาต้อนรับ ให้กำลังใจและพบปะกับคนที่ทุกคนรอคอยมานานกว่า 18 ปี โดยคาดว่าคนเสื้อแดงทั้งภาคอีสานอย่างน้อยจังหวัดละ 1-2 คันรถตู้ นับรวมกว่า 1,000 คน จะพร้อมใจกันใส่เสื้อสีแดง ถือธงสีแดง มายืนรอรับคุณทักษิณที่วัดตั้งแต่เวลา 12.00 น. ในวันที่ 25 ธ.ค.ที่จะถึงนี้

 “ทุกวันนี้สังคมมองว่าทุกคนกำลังแกล้งพระเอก ใส่ร้ายพระเอก ซึ่งก็ทำให้คนไทยกว่า 10 ล้านคนที่ให้การสนับสนุนและรักในคุณทักษิณนั้นเห็นใจและให้กำลังใจ วันที่ 25 พ.ค.ที่จะถึงนี้ จะเป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่าพลังรักและพลังศรัทธานั้นมีมากขนาดไหน ซึ่งโดยส่วนตัวได้มีการประสานรัฐมนตรีและแกนนำในระดับพื้นที่ ในการร่วมติดธงสีแดงบริเวณโดยรอบหมู่บ้านและในจุดที่คุณทักษิณจะเดินทางไป และพร้อมใจสวมใส่เสื้อสีแดงเพื่อแสดงพลังรัก พลังศรัทธา และแม้ว่าจะไม่ได้ใกล้ชิด แต่ก็จะพยายามยืนตั้งแถวในจุดที่ใกล้ที่สุด เพื่อให้ได้จับมือและพูดคุยกับคุณทักษิณ และแม้จะเข้าไม่ถึง คนเสื้อแดง เชื่อว่าเราทุกคนมองตาก็รู้ใจกันแล้ว”อดีตแกนนำคนเสื้อแดงขอนแก่นกล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เศรษฐา' อย่าสับสน! โพลวัดผลงาน ไม่ใช่เรตติ้งนายกฯ

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อย่าสับสน !!! ระหว่างผลงาน กับการเลือกนายกฯ คนต่อไป