ระลึกถึงคำปฏิญาณ พระราชดำรัสแก่12รมต. พิชิตนัดแจงทุกปม7พ.ค.

"ในหลวง" พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกฯ นำรัฐมนตรีใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ "สุชาติ" น้อมนำพระราชดำรัส ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดประเทศชาติ-ปชช.เป็นที่ตั้ง "เศรษฐา" มั่นใจตั้ง "พิชิต" ตามขั้นตอน กม. ไม่หวั่นโดนฟ้องร้อง "ทนายถุงขนม" นัด 7 พ.ค. แจงทุกข้อสงสัย "พท."  คึกคักจัดอีเวนต์ใหญ่ "อิ๊งค์" มั่นใจพรรคได้คะแนนเต็ม 10 ก่อนเลือกตั้งใหม่แน่  "ก้าวไกล" เหน็บไม่เห็นมีผลงานอะไร "สว.สมชาย" ชี้ "พิชิต" เสี่ยงขาดคุณสมบัติขัด รธน. จี้ กกต.ส่งวินิจฉัยสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน

เมื่อวันที่ 3 พ.ค.2567 เวลา 18.05  น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี   เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน   พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งใหม่ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ดังนี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี, นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, น.ส.จิราพร สินธุไพร  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี,นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

ในโอกาสนี้ นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ร่วมเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทด้วย

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสให้ทำงานเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ให้มีความตั้งใจทำงานให้แก่พี่น้องประชาชน  หลักคือให้ยึดพี่น้องประชาชนและประเทศชาติบ้านเมือง มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ทุกคนได้ปฏิญาณในการแสดงความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ

ก่อนหน้านี้ เวลา 14.20 น. รัฐมนตรีใหม่ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ได้เดินทางเข้าทำเนียบฯ เพื่อถ่ายภาพทำประวัติ และทำบัตรประจำตัวรัฐมนตรี ที่ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เดินทางมาถึงเป็นคนแรก

จากนั้นบรรดารัฐมนตรีได้ทยอยเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลตามลำดับ ได้แก่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.การคลัง, นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ, นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข, นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์,  นายพิชิต ชื่นบาน รมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง, นายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์, นายจักรพงษ์ แสงมณี รมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม และ น.ส.จิราพร สินธุไพร รมต.ประจำสำนักนายกฯ เดินทางมาถึงเป็นคนสุดท้าย

ต่อมาเวลา 15.25 น. นายกฯ ได้เดินลงจากตึกไทยคู่ฟ้าไปยังห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี เพื่อทักทายบรรดารัฐมนตรีใหม่ที่มาถ่ายภาพ โดยนายกฯ  กล่าวกับสื่อมวลชนว่า "มาทักทายรัฐมนตรีใหม่หน่อยครับ"

'พิชิต' นัดแจงคุณสมบัติ

ทั้งนี้ ทำเนียบรัฐบาลได้จัดเตรียมรถตู้สำหรับรัฐมนตรีใหม่จำนวน 3 คัน เพื่อออกเดินทางพร้อมกันไปยังพระที่นั่งอัมพรสถาน ในเวลา 16.20 น. โดยก่อนเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล รัฐมนตรีใหม่ 12 คนได้ร่วมถ่ายภาพเพื่อเป็นที่ระลึกที่ด้านข้างตึกสันติไมตรีด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 7 พ.ค. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  นายกฯ จะนำ ครม.เศรษฐา 1/2 ร่วมถ่ายภาพหมู่ที่ด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่จะเป็นประธานประชุม ครม.

ขณะที่ในช่วงเช้า เวลา 09.00 น.  นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยเพื่อร่วมกิจกรรม "10 เดือนที่ไม่ต้องรอ ทำต่อให้เต็ม 10"  ซึ่งจะมีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ. ในนามพรรคเพื่อไทย โดยทันทีที่นายเศรษฐามาถึง ได้มีว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ. ในนามพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ลำพูน, นายอนุวัธ วงศ์วรรณ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.แพร่,  น.ส.ตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ลำปาง และนายวิเชียร สมวงศ์ ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.ยโสธร รอให้การต้อนรับ

นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ยื่นตรวจสอบคุณสมบัติของนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต่อ กกต.ว่า ต้องติดตามกันต่อไป แต่ตนคิดว่าเราได้ตรวจสอบคุณสมบัติของว่าที่รัฐมนตรีทุกคน รวมถึงผ่านคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว

ถามว่า คณะกรรมการกฤษฎีการะบุในเรื่องจริยธรรม สุดท้ายต้องส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ทราบในเรื่องรายละเอียดของขั้นตอน ที่มีการร้องให้ตรวจสอบนั้นเป็นเรื่องสำคัญ แต่เราต้องให้โอกาสคนถูกพาดพิง แต่ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย

เมื่อถามว่า จากกรณีนี้อาจส่งผลกระทบต่อตัวนายกรัฐมนตรีด้วย นายเศรษฐาตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่ครับ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย” 

ส่วนนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สั้นๆ ว่า วันนี้ไม่ขอพูดอะไร วันอังคาร (7 พ.ค.) ประชุม ครม.ค่อยพบกัน โดยในวันนั้นตนจะพูดทุกอย่างตามที่สื่อมวลชนถาม

เมื่อถามว่า มีอะไรหนักใจหรือไม่ หลังถูกยื่นตีความคุณสมบัติรัฐมนตรี นายพิชิตกล่าวว่า "ตัวเบาหวิวเลย"

ด้าน น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล  รมว.วัฒนธรรม กล่าวถึงการสลับมานั่งรมว.วัฒนธรรมว่า "พร้อมทำงานแล้วค่ะ" ถามต่อว่ารู้สึกนอยด์หรือไม่ น.ส.สุดาวรรณตอบว่า ไม่มี พร้อมทำงาน  ซึ่งนายกฯ คงพิจารณาแล้วว่าใครที่จะเหมาะทำงานตรงไหน

เมื่อถามว่า ได้ปรึกษานายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล อดีต รมช.คมนาคม ที่เป็นบิดาหรือไม่ หลังถูกย้ายมาเป็น รมว.วัฒนธรรม น.ส.สุดาวรรณกล่าวว่า ไม่มี ไม่ได้ปรึกษาเรื่องรับตำแหน่งอะไร

เวลา 10.00 น. พรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดการจัดกิจกรรม 10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10 เพื่อเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) พรรคเพื่อไทยจำนวน 9 คน โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บรรดารัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ร่วมงานอย่างคับคั่ง แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า  นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว อดีต รมว.สาธารณสุข และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายไชยา พรหมา อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ และนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด  อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่เพิ่งถูกปรับออกจากการเป็นรัฐมนตรีไม่ได้มาร่วมงานดังกล่าว                                                                                                                                       

โว พท.ได้ 10 คะแนนก่อน ลต.       

น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ในนามหัวหน้าพรรค พท. ขอยืนยันเราตัดสินใจถูกต้องมากที่จัดตั้งรัฐบาลผสมเมื่อ 10 เดือนที่แล้ว เพราะมีปัญหาที่หมักหมมไว้จากการปฏิวัติรัฐประหาร หากไม่เป็นแกนนำรัฐบาลผสม คงยากที่ปัญหาหมักหมมจะแก้ไขได้ 10 เดือนที่ผ่านมา เราใช้ความพยายามในการวิเคราะห์  เข้าใจ เพื่อแก้ปัญหาที่ยากและซับซ้อน และก้าวเดินต่อในทุกมิติ เพราะเราเสียเวลาและโอกาสไปถึงเกือบ 2 ทศวรรษจากการรัฐประหาร เรามั่นใจว่าเราทำได้ และจะทำให้ได้คะแนนเต็ม 10 ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า           

น.ส.แพทองธารกล่าวว่า ในมิติทางเศรษฐกิจ เริ่มต้นด้วยการเติมเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพราะเงินถูกดูดออกจากระบบไปมาก จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียน ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 บาท จะทำให้ทุกคนต้องปรับตัวเพิ่มผลผลิตจากความพอกินของพนักงาน ในมิติของการบริหารราชการแผ่นดิน จะเปลี่ยนจากรัฐบาลอุ้ยอ้าย อืดอาด ไม่โปร่งใส เป็นรัฐบาลดิจิทัล บริหารด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบการทำธุรกรรมต่างๆ ได้ และมี super app ในการบริการ ทุกมิติของภาครัฐ

นอกจากนี้ ในด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ จะผูกมิตรกับทุกมหาอำนาจ และยินดีให้ไทยเป็นที่เจรจาความขัดแย้งจากทุกฝ่าย และพรรคเพื่อไทยในอนาคต จะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลที่มีศักยภาพ มีนโยบายที่ดีสร้างอนาคตให้ประเทศไทย วันนี้เรามีทีม PTP Academy หน่วยงานพัฒนาศักยภาพบุคลากร สร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ เปิดพื้นที่เชื่อมโยงการทำงานของพรรคกับหน่วยงานข้างนอก ซึ่งได้เริ่มดำเนินการแล้วระยะหนึ่ง มีการจัดอบรมเพิ่มองค์ความรู้ให้กับ สส.ของพรรค เพื่อให้การทำงานการเมืองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 “พรรค พท.จะครองสติ ไม่หวั่นไหว ไม่เล่นเกมโต้ตอบไปมา เพราะไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เรามีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบอยู่ในมือ ซึ่งกำลังลงมือทำ และเราทำได้อย่างแน่นอน ในขณะที่นโยบายกำลังเดินไปข้างหน้า พรรคก็กำลังพัฒนาไม่หยุดยั้งเพื่ออนาคตของประเทศไทย รัฐบาลเพิ่งปรับ  ครม. ซึ่งมีเสียงจากนักวิชาการหลายท่านที่น่าเชื่อถือได้ให้คำยืนยันว่า ถูกฝาถูกตัวมากที่สุด ทุกอย่างกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ไม่มีทางเลยที่เราจะแย่กว่าเดิม เรารู้ว่าการทำงานให้บ้านเมืองนั้น เป็นงานที่ Thank Less and End Less  (งานที่ยาก) ต้องทุ่มเทและไม่มีวันสิ้นสุด แต่เราเต็มใจที่จะทำ เพราะเราเป็นพรรคการเมืองแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเจริญของประเทศ” น.ส.แพทองธารกล่าว

นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค พท. กล่าวว่า หากพรรค พท.ไม่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ประเทศไทยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาอาจเกิดสุญญากาศ งบประมาณที่อาจไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร เพราะรัฐบาลรักษาการมีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ไม่มีการผลักดันนโยบายเร่งด่วนแก้ปัญหาความทุกข์ของประชาชน แต่พรรคเอาประโยชน์ของประเทศและประชาชนมาเป็นที่ตั้ง ด้วยการจัดตั้งรัฐบาล ขับเคลื่อนประเทศ พร้อมเติมทุกนโยบายให้เต็ม 10 ในปี 2570

"เราโดนทั้งคำถาม คำดูถูกเหยียดหยามต่อว่าสารพัด พรรคไม่เคยตอบโต้ เราไม่เก่งการตอบโต้รายวัน เราไม่ชำนาญในการคิดวาทกรรมเชือดเฉือนสวยหรู แต่จะตอบคำถามในรูปแบบที่ถนัดที่สุด ด้วยผลงานที่มอบให้กับประชาชนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา และ 4 ปีของการเป็นรัฐบาล เราจะทำให้คนที่เลือกและไม่เลือกพรรคได้เห็นว่าพรรคภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร เรามีจิตวิญญาณด้วยคำว่าประชาธิปไตยอย่างเปี่ยมล้น เราจะทำให้ประชาชนเห็นว่าพรรคเพื่อไทย หัวใจของเราคือพี่น้องประชาชน" โฆษกพรรคพท.กล่าว

ด้าน น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงการแถลงผลงานรัฐบาลของพรรค พท.ว่า  จากการตั้งชื่องาน '10 เดือนที่ไม่รอ ไปต่อให้เต็ม 10' เหมือนเป็นความพยายามของพรรคเพื่อไทยที่จะอธิบายให้ประชาชนคล้อยตามว่าทำไมต้องตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว อยากให้ประชาชนเชื่อว่ารัฐบาลมีผลงาน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าด้วยสถานะและประวัติศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยจะมาถึงจุดนี้ได้

"จากที่ฟังการแถลงตลอดกว่า 2 ชั่วโมง ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะมีผลงานอะไรที่คุ้มค่าให้ต้องตระบัดสัตย์ไปจับมือกับพรรคการเมืองที่สืบทอดอำนาจคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)" รองโฆษกพรรค ก.ก.ระบุ

ขณะที่ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงการมาอยู่กระทรวงพาณิชย์ จากเดิมที่เคยอยู่กระทรวงแรงงานว่า เป็นการไปเรียนรู้กระทรวงด้านเศรษฐกิจอีกกระทรวงหนึ่ง ซึ่งทั้ง 2 กระทรวงมีความสัมพันธ์กัน เพราะหากแรงงานดี เกษตรดี ค้าขายดี ประเทศก็เจริญ 

ถามว่า รู้สึกเกร็งหรือไม่ที่เคยทำงานกับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แล้วต้องมาทำงานกับรัฐบาลนายเศรษฐา นายสุชาติกล่าวว่า ไม่เลย เพราะนายเศรษฐาก็เป็นคนเก่งและมีความตั้งใจ แล้วตนก็ได้พบท่านมาแล้ว ได้ทานข้าวด้วยกัน และได้คุยเรื่องวิสัยทัศน์ต่างๆ  นายเศรษฐามีสไตล์การทำงานที่รวดเร็วถึงลูกถึงคน คล้ายๆ กับ พล.อ.ประยุทธ์และนายเศรษฐาก็เป็นคนชัดเจน

สว.เตือนทนายถุงขนมเสี่ยง

วันเดียวกัน นายสมชาย แสวงการ  สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของนายพิชิตว่า มีความเสี่ยงที่จะขาดคุณสมบัติและอาจขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่ง กกต.มีหน้าที่เร่งส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และขอให้ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน โดยเสนอข้อมูลข้อกฎหมายและข้อเสนอแนะนำเพื่อให้ กกต.ที่มีหน้าที่เร่งส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตาม รธน.มาตรา 82 ประกอบมาตรา 170 วรรคสาม และ มาตรา 160 (4) โดยเร็ว เพื่อขอให้วินิจฉัยว่านายพิชิตขาดคุณสมบัติหรือไม่

ด้วยเหตุผล 1.รัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา 160 กำหนดทุกอนุมาตรา ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดมิได้ จะทำให้ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวมาตรา 170 ทันที โดยเรื่องนี้มีประเด็นสงสัยตาม รธน.มาตรา 160 (4) (5) ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และการประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ เพราะนายพิชิตเคยเป็นทนายความ และเป็นจำเลยที่ 1 เคยต้องคำสั่งศาลให้จำคุก 6 เดือน ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเรื่องละเมิดอำนาจศาล ที่วินิจฉัยว่าเป็นความผิดละเมิดอำนาจศาล

เงินที่มอบให้ ม.ล.ฐิติพงศ์ เพื่อนำไปแบ่งกันกับเจ้าหน้าที่ในแผนกมีจำนวนมากถึง 2,000,000 บาท มีเจตนาที่จูงใจให้ ม.ล.ฐิติพงศ์และเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่  ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปเป็นประโยชน์แก่จำเลยในคดีหมายเลขดำที่ อม.1/2550 เป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 (1), 33 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และน่าจะมีมูลความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144 หรือความผิดอื่นต่อเจ้าพนักงาน การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสาม เป็นการกระทำที่อุกอาจ ท้าทายและเกิดขึ้นที่ศาลฎีกา จึงลงโทษในสถานหนัก เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป ให้จำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามคนละ 6 เดือน               

2.รัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 หาใช่มีคุณสมบัติเพียงแค่ที่ส่งไปถามให้กฤษฎีกาตีความแบบเฉพาะเจาะจงบางอนุมาตราใน รธน.มาตรา 160 แค่ (6) (7) หากยังต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และไม่ประพฤติผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามมาตรา 160 (4) และ (5) ด้วยปรากฏชัดตามหนังสือตอบที่เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ลับ ลงวันที่ 1 ก.ย.66 ที่มีเลขาธิการ ครม. ถามไปเพียงแค่บางประเด็น หาใช่การตอบครอบคลุมถึงคุณสมบัติรัฐมนตรีทั้งหมด ตาม รธน.ทั้งมาตรา 160 กำหนดหรือตามที่นายกรัฐมนตรีกล่าวอ้างแต่ประการใด

3.กรณีมีข้อสงสัยว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ แม้เมื่อรัฐมนตรีเข้าสู่ตำแหน่งแล้ว แต่อาจมีเหตุที่ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงได้ โดยเฉพาะกรณีที่รัฐมนตรีผู้นั้นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หรือกระทำการบางอย่างอันมีลักษณะเป็นการขัดกันแห่งประโยชน์ กกต.มีหน้าที่และมีผู้ไปร้องแล้ว จึงควรเร่งดำเนินการและควรร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้อง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยด้วยเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา”

ส่วนนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. โพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง "ระวัง ศรพรหมาสตร์ ถึงขั้นทำลายล้างสิ้นเผ่าพันธุ์ทั้งพื้นดินและสวรรค์" ระบุว่า ศรพรหมาสตร์นั้นอานุภาพร้ายแรงสุด ในบรรดา 3 ศรของพระราม คือ พรหมาสตร์ อัคนิวาต และพลายวาต 3 คำร้องที่มีถึง 3 หน่วยงาน คือ กกต., ป.ป.ช. และผู้ตรวจการแผ่นดิน ในกรณีพิชิต หากเปรียบไปก็เหมือนศร 3 ดอก ที่ยิงตรงไปยังรัฐมนตรีเจ้าปัญหา และพร้อมลุกลามไปถึง ครม.ทั้งคณะ เพราะผู้ทูลเกล้าฯ เสนอชื่อคือเศรษฐาที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติทุกเรื่องให้สิ้นกระแสความ

นายสมชัยระบุว่า คำตอบจากกฤษฎีกาที่ว่าไม่ขัดคุณสมบัติ เป็นการตีความของมาตรา 98 (7) และมาตรา 160 (6) และ (7) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเท่านั้น กล่าวคือ ถามแค่ไหน ก็ตอบแค่นั้น หากแต่คุณสมบัติของรัฐมนตรี ยังมี 160 (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ 160 (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงอีกด้วย ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน ไม่ตรวจสอบในประเด็นดังกล่าวให้ชัดเจนก่อนทูลเกล้าฯ จนเป็นเหตุให้มีคำร้องถึง 3 หน่วยงานเพื่อส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย

"ศรพลายวาต อาจมีฤทธิ์เพียงพัดพาให้เฉพาะรัฐมนตรีกระเด็นไปไกลสุดขอบฟ้า ส่วนอัคนิวาต อาจเผาผลาญศัตรูให้ย่อยยับ แต่อานุภาพสุดของศรพรหมาสตร์ ไม่เพียงแต่สูญสิ้นทั้งคณะรัฐมนตรี แต่ยังมีฤทธิ์ไปถึงเทวดาบนสวรรค์ เทวดาก็อย่าเพลินเดินชายหาดครับ" นายสมชัยระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ไทม์ไลน์เคาะเครื่องบินรบ แง้มเส้นทางเรือดำน้ำเข้าครม.

เป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนที่กองทัพอากาศจะคัดเลือกแบบเครื่องบินรบฝูงใหม่ทดแทน เพื่อนำเข้าประจำการแทนเครื่องที่กำลังปลดประจำการ