โจ๊กแฉ4ต.สกัดขู่ฟ้องแหลก สมชัยชี้ช่องเชือดกก.ปปช.

"โจ๊ก" บุกยื่นหนังสือ "ก.พ.ค.ตร." อุธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน งัด พ.ร.บ.ตำรวจยันคำสั่งมิชอบ จ่อฟ้อง "นายพล" กราวรูด ทำให้เสื่อมเสีย ปลดชื่อ-รูปออกจากทำเนียบผู้บังคับบัญชา กางผัง "แก๊ง 4x100 สยบปีกพระพรหม" แฉ "4 ต." เบื้องหลังสกัดพ้นรั้ว ตร. "ษิทรา" พ้อตำรวจทำคดี "บิ๊กต่อ" อืดแถมเหลี่ยมใส่  "สมชัย" ข้องใจ "สส.-สว." เงียบปม จม.รั่วพาดพิงตั้งกรรมการ ป.ป.ช. "จตุพร" เหน็บนายกฯ ไม่เหลือมาดผู้นำโดนหลอกเซ็นชื่อ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 25   เม.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง  ผบ.ตร. เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เพื่ออุทธรณ์คำสั่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ   พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ที่ให้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยมิชอบ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้กางข้อกฎหมายพร้อมระบุว่า พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติปี 2547 ข้อ 8 มาตรา 131 ที่ระบุว่า “กรณีสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนต้องใช้กฎ ก.ตร. ปี 2547 มาประกอบ หากแต่ในข้อ 8 ของกฎ ก.ตร. ปี 47 กรณีการสอบสวนไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ได้ขัดแย้งกันในข้อกฎหมายตามที่กล่าวไป ต้องนำมาตรา 120 มาใช้แทน ซึ่งระบุว่าการสอบสวนข้อเท็จจริงต้องให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน  หลังจากนั้นจะส่งให้นายกฯ ในฐานะผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณา แต่พบว่าคำสั่งครั้งนี้มีความขัดแย้งกัน จึงต้องยกเลิกคำสั่งให้ออกจากราชการนี้ไปโดยปริยาย  เพราะถือเป็นการให้ออกจากราชการโดยมิชอบ

นอกจากนี้ ใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติปี 65 ยังระบุว่า ระหว่างการสอบสวนจะนำเหตุแห่งการสอบสวนมาเป็นข้ออ้างในการดำเนินการใด ให้กระทบต่อสิทธิ์ของผู้ถูกสอบสวนไม่ได้ เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวนแล้วมีความเห็นไปถึงผู้บัญชาการภาคหรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าจะมีดุลยพินิจอย่างไร

 “กรณีผมมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนในวันเดียวกับที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการ จึงไม่มีข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการสอบสวนที่มี พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะตามกฎหมายฉบับดังกล่าว เป็นการกลับไปใช้กฎหมายฉบับเดิมปี 2547 ที่ให้เป็นไปตามดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชา  การกระทำดังกล่าวรักษาราชการแทน ผบ.ตร.ต้องติดคุก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าว

อดีตรอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ที่ผ่านมามีตำรวจกว่า 500 นายที่ถูกดำเนินคดี แต่ไม่มีใครถูกสั่งให้ออกจากราชการเหมือนกับตน อีกทั้งได้ถามกับผู้การกองวินัย ระบุว่าได้มีการประมวลเรื่องดังกล่าวไว้ 2  วันก่อนจะมีคำสั่งให้ตนออกจากราชการ แสดงให้เห็นว่ามีขบวนการให้ตนเองออกจากราชการ

"หลังจากนี้ผมจะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตั้งแต่ รรท.ผบ.ตร., ผบช.กมค., ผบก.กองคดี, ผบก.กองสารนิเทศ, เลขานุการ ตร. รวมถึง ผบช.สทส. ที่มาปลดป้ายชื่อและปลดรูปออกจากทำเนียบผู้บังคับบัญชา ทั้งที่ยังไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ออกจากราชการ ถือเป็นการทำให้ผมเสื่อมเสีย ดังนั้นจะยื่นฟ้องดำเนินคดีทั้งหมด แต่ถ้าจะให้ผมเมตตา ก็ต้องมาบอกกับผมว่าใครเป็นผู้สั่งการ" อดีตรอง ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า การให้รอง  ผบ.ตร.ออกจากราชการไม่ใช่เรื่องเล็กๆ  แต่นี่มีความรีบ เพราะมีคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็น ผบ.ตร. ทำเรื่องรอไว้แล้วก็ไปหลอกนายกฯ เดิม รรท.ผบ.ตร.ไม่ใช่ผู้ขัดแย้งของตน แต่มาทำแบบนี้ถือว่าท่านเลือกเอง เช่นเดียวกับหนึ่งในคณะกรรมการ ก.ค.พ.ตร. คือ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ และอดีต ผบ.ตร. ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับตน ท่านจะต้องรู้ตัวเองและขอถอนตัว แต่หากรู้ว่าท่านไม่ดำเนินการตนเองก็จะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อไป

"มติของ ก.พ.ค.ตร. เปรียบเสมือนศาลปกครอง มีอำนาจในการเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มิชอบได้ และหากเพิกถอนแล้วจะถือว่าคำสั่งดังกล่าวไม่เคยมีมาก่อน หากดำเนินการไม่เสร็จตามกรอบระยะเวลา ก็สามารถขยายได้อีก 2 ครั้ง” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าว

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้นำแผนผัง "ขบวนการ 4×100 สยบปีก พระพรหม" ของกลุ่มที่เสพติดอำนาจประพฤติชั่วมาแสดง โดยระบุว่า กลุ่มที่เสพติดอำนาจประพฤติชั่วมีการทำเป็นขบวนการ  ประกอบด้วย 4 ชุด คือ ชุดตรวจค้นบ้าน ตระกูลสี่ ต. (ต่อ เต่า ตุ้ม ไตร), ชุด พงส.คดี สน.ทุ่งมหาเมฆ, ชุด พงส.คดี สน.เตาปูน และชุดรักษาราชการแทน ผบ.ตร. ที่ร่วมกันทำเป็นขบวนการตั้งแต่การเข้าตรวจค้นบ้าน การใช้อำนาจสอบสวน นำไปสู่การออกหมายเรียก หมายจับ จากนั้นตั้งคณะกรรมการสอบสวน และมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนในวันที่ 18 เม.ย. จากนั้นนำส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ในวันที่ 19 เม.ย. ซึ่งกลุ่มบุคคลเหล่านี้มีการสร้างเรื่องเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า วันนี้เขาต้องทำแบบนี้ เป็นเพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ต่อไปเขาจะทำแบบนี้อีก ทำซ้ำๆ อีก แบบนี้องค์กรจะพัง เหมือนที่อัยการปรเมศวร์  อินทรชุมนุม เคยเตือนว่ามันจะพังทั้งองค์กร ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่กำกับดูแลตำรวจ ต้องเป็นผู้แก้ปัญหาเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นจะตอบคำถามต่อสภาอย่างไร

"ผมไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา เพราะตราบใดก็ตามที่  ป.ป.ช.ยังไม่มีการชี้มูลความผิด ก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และยังมีคุณสมบัติที่จะเป็น ผบ.ตร.ได้ทุกอย่าง อีกทั้งยังถือเป็นรอง ผบ.ตร.อันดับ 1” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าว

ส่วนที่ สน.เตาปูน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เดินทางเข้าให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน เกี่ยวกับคดีแจ้งความเอาผิดพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เกี่ยวข้องเว็บพนันออนไลน์

นายษิทรากล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้นัดหมายเข้าให้การเพิ่มเติม โดยตนนำข้อมูลและแผนผังเส้นทางการเงินที่เคยแถลงข่าวเมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา นำมามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ BNK master ของเครือข่าย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เทียบกับเครือข่ายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ แต่ไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนติดใจเรื่องไหน แต่มีหลายเรื่อง โดยวันนี้มี บก.น.2 ร่วมสอบปากคำด้วย

ถามว่า เรื่องของบิ๊กโจ๊กตอนนี้เหมือนจะเจอศึกสองด้าน นายษิทรากล่าวว่า ในเรื่องวินัยตนไม่ค่อยทราบ คงต้องถามตำรวจ แต่เชื่อว่าบิ๊กโจ๊กมีเลือดนักสู้อยู่แล้ว ก็คงต้องสู้ต่อไป ส่วนเรื่องคดีอาญาที่เคยแจ้งดำเนินคดีข้อหาสมคบฟอกเงินพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ขณะนี้คดีไม่คืบ ตนมองว่าคดีนี้ควรนำคณะพนักงานสอบสวนคดีแรกมาทำจะได้ง่าย และไม่ต้องเริ่มใหม่ ซึ่งการเข้าให้ข้อมูลกับตำรวจรอบนี้เป็นรอบที่ 3 แล้ว มองว่าการดำเนินคดีบิ๊กต่อนั้นยากมาก ตำรวจไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ไม่มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหามาพบ

"คงอยากให้ผมถอดใจและท้อ ตำรวจไม่ให้ความร่วมมือ พยายามเหลี่ยมใส่ แม้ว่าจะท้อ แต่ไม่ถอยแน่นอน และมีโอกาสที่จะฟ้องพนักงานสอบสวน หากไม่สอบสวนตามข้อมูลที่ให้ไปหรือคดียังไม่คืบหน้า" นายษิทรากล่าว

ถามว่า ขณะนี้เส้นเงินของบิ๊กต่อเกิน 300 ล้านบาทแล้ว มองว่าคดีควรไปไปถึงดีเอสไอหรือไม่ นายษิทรากล่าวว่า คงต้องดูย้อนหลังว่าเป็นอย่างไร แต่คดีของ สน.เตาปูน ไม่เข้าเงื่อนไขที่จะไปถึงดีเอสไอได้ นอกจากนี้ วันที่ 26 เม.ย. ตำรวจได้มีการนัดหมายสายลับของตนมาให้การเพิ่มเติมด้วย

"ในสัปดาห์หน้าผมจะเดินทางไป ปปง. ให้ตรวจสอบเส้นเงิน โดยตอนนี้รวบรวมหลักฐานของรองฟางและดาบยาวได้แล้ว ส่วนของบิ๊กต่อกับภรรยา หากรวบรวมเสร็จทันก็จะยื่นพร้อมกัน" นายษิทรากล่าว

วันเดียวกัน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร  อดีต กกต. โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “มีเรื่องฉาวในองค์กรอิสระ สส. และ สว.กลับหายไปไหน” ระบุว่า ข่าวการรั่วของจดหมายถึงประธาน ป.ป.ช. ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่คัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการ ป.ป.ช.ท่านหนึ่ง แต่มีลำดับเหตุการณ์ถึงการวิ่งเต้นกับนักการเมืองที่มีอำนาจเพื่อให้ได้รับเลือกเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ควรจบเพียงแค่คำปฏิเสธง่ายๆ  จาก พล.อ.ที่ถูกระบุว่าเกี่ยวข้องว่าไม่มี ไม่รู้จัก เพราะเรื่องราวที่อยู่ในเอกสารดังกล่าว เป็นหลักฐานบ่งบอกว่ากรรมการท่านนั้น อาจมีปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม เป็นกลาง อิสระ ซึ่งขัดกับหลักจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลักของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ

"มาตรา 236 ของรัฐธรรมนูญ กำหนดว่า หากกรรมการ ป.ป.ช.มีปัญหาในด้านจริยธรรมอย่างร้ายแรง สส. หรือ สว. หรือ สส.+สว. 1 ใน 5 ของสองสภา หรือประชาชน 20,000 ชื่อ สามารถเข้าชื่อกันส่งเรื่องยังประธานรัฐสภา ส่งต่อประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ และหากผิดจริงก็สามารถส่งต่อศาลฎีกาเพื่อมีคำพิพากษาให้พ้นจากตำแหน่งได้ ซึ่งเห็นข่าวบิ๊กโจ๊กจะล่ารายชื่อประชาชน 20,000 ชื่อเพื่อดำเนินการตามมาตรา 236 แต่ สส.และ สว.ดูเหมือนจะเงียบเกินไปสำหรับเรื่องนี้" นายสมชัยกล่าว

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์  วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์กรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ว่า การแถลงโต้รายวันพุ่งเป้าไปฟาดบิ๊กใน สตช.  แล้วยังทำให้รู้ว่านายกฯ ถูกหลอก จึงน่าเห็นใจประเทศที่มีนายกฯ โดนหลอกได้ง่ายๆ ที่สุด แทบไม่เหลือสภาพผู้นำมากอำนาจของบ้านเมืองนี้เลย

"บิ๊กโจ๊กไม่มีอะไรที่จะเหลืออีกแล้ว จึงต้องแลกหมัดกันเต็มที่ เพื่อให้เกิดการเจรจาขึ้น เหมือนกับเป็นคนตายแล้วจึงต้องกราดยิงยิบตา" นายจตุพรระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง