บี้รบ.เปิดกว้าง ถามประชามติ จับตาเลือกสว.

"วันนอร์" ชี้ร่างแก้ไข รธน. ไม่ทันประชุมสภาวิสามัญ เหตุต้องทำประชามติก่อน "รทสช." ย้ำจุดยืนเดิมไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ด้าน "ชัยธวัช" ยันก้าวไกลไม่คิดขวาง รธน.ฉบับใหม่ แต่ห่วงล็อกบางหมวดมีปัญหาเชิงเทคนิค

เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า หากมีการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ    สภายังไม่สามารถนำเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาพิจารณาได้ เนื่องจากรัฐบาลจะต้องไปทำประชามติในรอบแรกก่อน ซึ่งเห็นว่าจะเสร็จประมาณเดือน ก.ค. แต่มีกฎหมายอีกหลายฉบับ ที่ค้างคาอยู่ ถ้ารัฐบาลอยากเอาเข้าสมัยประชุมวิสามัญสภาก็พร้อม

นายวันมูหะมัดนอร์ยังกล่าวถึงกฎหมายประชามติ ซึ่งมีการเรียกร้องให้มีการแก้ไขบางมาตราว่า ตอนนี้กฎหมายประชามติมีอยู่แล้ว ถ้ารัฐบาลจะใช้กฎหมายที่มีอยู่ทำประชามติก็สามารถทำได้เลย เว้นแต่ว่ารัฐบาลเห็นว่าอยากจะแก้ไขบางมาตราก่อน ก็เสนอมาแก้ไขได้ในช่วงสมัยประชุมวิสามัญ  ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าจะมีการเสนอเข้ามาหรือไม่ แต่ความจริงกฎหมายที่มีอยู่ก็สามารถทำประชามติได้ เพราะทำแค่ถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าอยากแก้ไขก็ลงมติว่าแก้ไข ถ้าไม่อยากแก้ไขก็โนโหวต

 “ผมเชื่อว่าประชาชนจะออกมาใช้สิทธิ์เกินครึ่งหนึ่ง เพราะหากทุกคนทุกฝ่ายช่วยกันรณรงค์ ทั้งรัฐบาล สื่อมวลชน ประชาชน เมื่อรณรงค์แล้ว จึงไม่คิดว่าประชาชนจะออกมาใช้สิทธิ์ไม่ถึงครึ่ง  แต่หากประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ไม่ถึงครึ่ง ก็แสดงว่าประชาชนไม่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น”

เมื่อถามว่า หากการทำประชามติครั้งแรกแล้วประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ไม่ถึงครึ่ง จะทำให้งบประมาณกว่า 3,000  ล้านบาทสูญเปล่าหรือไม่นั้น นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า เนื่องจากกฎหมายเป็นเช่นนั้น แต่ตนยังมั่นใจว่าประชาชนจะออกมาเกินครึ่ง เพราะเวลาเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นระดับท้องถิ่นหรือระดับไหน  ประชาชนก็ออกมาใช้สิทธิ์เกินครึ่ง ส่วนใหญ่ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ และระยะหลังมีการรณรงค์มาก ประชาชนก็ออกมาใช้สิทธิ์กว่า 80 เปอร์เซ็นต์

ด้านนายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์  สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขความเห็นที่แตกต่างในเรื่องรัฐธรรมนูญ และเห็นควรจัดให้มีการออกเสียงประชามติจำนวน 3 ครั้ง รวมถึงควรให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม  พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 ว่า พรรคเห็นด้วยกับแนวทางของ ครม.ทุกประการ การออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง แม้จะถูกติติงว่าจะใช้งบประมาณจำนวนมากก็ตาม แต่มีความจำเป็นต้องปฏิบัติตาม พรรครวมไทยสร้างชาติขอย้ำจุดยืนเดิมที่มั่นคงให้ไว้ตั้งแต่เข้าร่วมรัฐบาล หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องไม่แตะหมวด 1  หมวด 2 เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเด็ดขาด พรรคได้ยืนหยัดในจุดยืนนี้มาโดยตลอด และจะยืนหยัดต่อไป ส่วนเนื้อหาอื่นจะแก้ไขอะไรบ้าง ก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเช่นเดียวกัน

นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ   และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า  จากที่ดูตามเอกสารก็ยังไม่ชัดเจนว่า ตกลงแล้ว ครม.มีมติอย่างเป็นทางการต่อเรื่องนี้แล้วหรือไม่ ในมุมมองของพรรคก้าวไกล มองว่าหากยังมีเวลาอยากให้รัฐบาลไปทบทวน ตั้งคำถามทำประชามติอย่างกว้างที่สุด เข้าใจง่าย ไม่ต้องมีเงื่อนไขซับซ้อน เช่น ถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนฉบับเก่า ซึ่งหากรัฐบาลมีข้อกังวลเรื่องหมวด 1 และหมวด 2 รัฐบาลเองรวมถึง  สส. ก็สามารถแก้ไขรายละเอียดด้วยการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่ที่ประชุมสภาหลังการทำประชามติได้

นายชัยธวัชเน้นย้ำถึงเหตุผลว่า หลักของการทำประชามติคือต้องเข้าใจง่าย   แต่หากตั้งคำถามโดยมีเงื่อนไขว่า ยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 คนที่โหวตเห็นด้วย เขาเห็นด้วยกับอะไร ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย หรืองดออกเสียง เขาไม่เห็นด้วยกับอะไร ไม่เห็นด้วยกับการตั้งเงื่อนไขเว้นบางหมวด หรือไม่เห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  อยากจะอยู่กับรัฐธรรมนูญ 60 ดังนั้นจะตีความผลประชามติอย่างไร

นายชัยธวัชกล่าวต่อว่า คำถามประชามติที่ไม่ซับซ้อน จะมีโอกาสทำให้ประชามติผ่านง่ายขึ้น สามารถรวมคะแนนเสียงได้เป็นเอกภาพมากที่สุด  แทนที่จะมีคะแนนเสียงบางส่วนที่อยากได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ไม่เห็นด้วยกับเงื่อนไข จึงโหวตไม่เห็นชอบ หรือไม่โหวตเลย ก็จะน่าเสียดาย เพราะเราคงไม่ได้ทำประชามติกันบ่อยๆ ทางฝ่ายค้านก็อยากให้การทำประชามติมีโอกาสผ่านมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเฉพาะพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติปัจจุบัน ที่มีเงื่อนไขเสียงข้างมากสองชั้น หรือ double majority

นายชัยธวัชยังระบุว่า เรื่องรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 คนในรัฐบาลบางท่านพยายามสร้างความเข้าใจว่าพรรคก้าวไกลต้องการจะแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 มาก จึงคัดค้านคำถามแบบนี้ ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพราะหลักการพื้นฐาน หากอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน รัฐธรรมนูญก็ควรจะแก้ได้ทั้งหมด ไม่ควรจะวางบรรทัดฐานทางการเมืองแบบนี้ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

นายชัยธวัชย้ำด้วยว่า รัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจอย่างเดียว แต่มีเรื่องอื่นด้วย สมมติว่าในอนาคตมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีวุฒิสภา แล้วให้ใช้ระบบสภาเดี่ยว เหมือนประเทศไทยในอดีต แต่ในหมวด 1 มีถ้อยคำวุฒิสภาอยู่ จะเอาออกอย่างไร จึงจำเป็นต้องมีการแก้ไขถ้อยคำเพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจเลย ซึ่งอาจมีปัญหาทางเทคนิคเกิดขึ้นได้

ขณะที่ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ข้อเห็นต่างกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลคือเรื่องของคำถาม เพราะในคำถามมีการถามว่าจะเห็นชอบด้วยหรือไม่กับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 หมวด 2 ซึ่งเป็นข้อที่ดูแล้วจะมีความเห็นไม่ลงรอยกัน ดังนั้นตนเห็นว่าควรเอาตามกติกาก่อน ซึ่งรัฐธรรมนูญมาตรา 255  บัญญัติไว้ว่าการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ หรือมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะแก้ไขไม่ได้ ซึ่งถือว่ามีขอบเขตอยู่แล้ว

“ยกตัวอย่างร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งตอนทำประชามติคือตอนปี  2559 เขายังแยกเป็น 2 คำถามเลย คือเห็นชอบหรือไม่กับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ กับเห็นชอบหรือไม่ที่ให้ สว.โหวตเลือกนายกฯ หากจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ก็ควรจะคุยกันให้ออกมาเป็น 2 คำถามได้หรือไม่ ดังนั้นผมขอเสนอว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลซึ่งเคยเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกัน และมีสัญญาประชาคมกับประชาชนไว้ด้วยกันว่าจะมาแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ให้เป็นประชาธิปไตย เพราะหากยังเดินหน้าไปโดยยังเห็นต่างกันอยู่ ผมเกรงว่าประชามติจะไม่ผ่าน สุดท้ายการแก้รัฐธรรมนูญก็แก้ไม่เสร็จ และเรื่องนี้ไม่ควรจะเป็นเรื่องของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่ควรเป็นเรื่องที่ทั้ง 2 ฝ่ายร่วมมือกัน นี่คือสิ่งที่ประชาชนคาดหวังอยากจะเห็น และประชาชนอยากเห็นทั้ง 2 พรรคคุยกัน ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเดินหน้าไปข้างเดียว” นายปริญญากล่าว

อย่างไรก็ตาม นายปริญญายังกล่าวทิ้งท้ายถึงการเลือกตั้ง สว.ครั้งนี้ว่า ต้องจับตาการร้องเรียนตั้งแต่ระดับอำเภอที่มีผู้สมัครจำนวนมากจะดำเนินการอย่างไร ขอให้จับตาให้ดี หากการประกาศผลเลือก สว.ใหม่ต้องยืดเวลาออกไป ที่มีผลต่อการดำรงอยู่ของ สว.ชุดที่มาจาก คสช. ที่ต้องทำหน้าที่รักษาการไปจนกว่ามี สว.ชุดใหม่ เกี่ยวกับอำนาจเลือกนายกฯ ในรัฐสภา แม้บทเฉพาะกาล มาตรา 272 จะกำหนดให้มีอำนาจ 5 ปีนับแต่มีสภา แต่อาจมีคนที่ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความได้หากมีปัจจัยที่ต้องการทำให้เปลี่ยนตัวนายกฯ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘จุรินทร์’ เผย8ปัจจัย การเมืองปี68เดือด!

"จุรินทร์" เปิด 8 ปัจจัยการเมืองปี 2568 จับตามีคดีความที่มีผู้ร้องไปยื่นร้องนายกฯ และผู้เกี่ยวข้องไว้ที่ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีเรื่องที่ค้างอยู่อย่างน้อย

‘จ่าเอ็ม’ ผวาขออารักขา

กัมพูชาส่งตัว "จ่าเอ็ม" ให้ไทยแล้ว นำตัวเข้ากรุงสอบเครียดที่ สน.ชนะสงคราม แจ้งข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เจ้าตัวร้องขอเจ้าหน้าที่คุ้มครองเป็นพิเศษ

เป็นแม่ที่ดีหรือยัง! ‘อิ๊งค์’ เปิดอกวันเด็กสมัยก่อนไม่มีไอแพดโวยถูกบูลลี่

"นายกฯ อิ๊งค์" เปิดงานวันเด็กคึกคัก! เด็กขอถ่ายรูปแน่น พี่อิ๊งค์ล้อมวงเปิดอกตอบคำถามเด็กๆ มีพ่อเป็นต้นแบบ เผยวัยเด็กไม่มีไอแพด โทรศัพท์ ไลน์ พี่มีลูกสองคน

‘บิ๊กอ้วน’ เอาใจทอ. เคาะซื้อ ‘กริพเพน’

ปิดจ๊อบภายในปีนี้! "บิ๊กอ้วน" ไฟเขียว ทอ.เลือก "กริพเพน" มั่นใจคนใช้เป็นคนเลือก รออนุมัติแบบหลังทีมเจรจาออฟเซตกับสวีเดนจบ แจงทูตสหรัฐแล้ว ไทยยันไม่มีนโยบายกู้เงินซื้ออาวุธตามข้อเสนอขายเอฟ