‘โจ๊ก’ทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่ ยื่นปปช.เอาผิดนายกฯขวาง‘สุชาติ’ลาก‘ป้อม’จุ้นองค์กรอิสระ

วงแตก! "บิ๊กโจ๊ก" ทิ้งระเบิดลูกใหญ่ เปิดศึกรอบด้าน ยื่นประธาน ป.ป.ช.สอบ “เศรษฐา” ปฏิบัติหน้าที่มิชอบตั้ง “บิ๊กต่อ” เป็น ผบ.ตร. และยื่นคัดค้านการทำหน้าที่กรรมการ ป.ป.ช.ของ "สุชาติ ตระกูลเกษมสุข" เผยวาทะแตกหัก "พี่โจ๊ก อย่ามีเรื่องมาพึ่งผมบ้างก็แล้วกัน" เลือดเข้าตาลาก "บิ๊กป้อม" คลุกวงในชูใบเสร็จครอบงำองค์กรอิสระ แฉอินไซด์เลือก ป.ป.ช.ตามใบสั่ง

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยื่นหนังสือขอให้ประธาน ป.ป.ช.ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจากการแต่งตั้ง  พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

"ในฐานะที่ผมเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และการออกคำสั่งส่งตัวผมกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนที่รักษาการ ผบ.ตร.จะมีคำสั่งให้ผมออกจากราชการไว้ก่อน รวมถึงขอให้ตรวจสอบว่าการสอบสวนของคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนชุดที่ทำคดีเว็บพนันออนไลน์มีอำนาจหน้าที่โดยชอบหรือไม่ รวมถึงขอให้ตรวจสอบว่าหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน และพนักงานสอบสวนปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ให้เหตุผล และเชื่อมั่นว่าตัวเองจะได้กลับมา

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวถึงเรื่องการยื่นคัดค้านนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเอกสารปรากฏอยู่ในโลกโซเชียลว่า ตนขออนุญาตไม่พูดในเรื่องนี้  แต่ยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นคนปล่อยเอกสารดังกล่าว และขอยืนยันกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น ใครมาทางไหนก็ไปทั้งนั้น ตนไม่ได้ว่าใคร วันนี้เพียงแค่มาหาความยุติธรรมเท่านั้น เมื่อองค์กรให้ความเป็นธรรมกับตนไม่ได้ จึงต้องมาหาความยุติธรรมนอกองค์กร ตนรู้ดีว่าสื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

"โชคดีที่ผมเป็นคนใต้ เป็นนักสู้เต็มตัว ถ้าเป็นคนอื่นก็คงบอกไปแล้ว แต่ผมไม่ใช่" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าว

อย่างไรก็ดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ระบุว่า ขอไม่ตอบว่าได้มีการปรึกษากับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ  และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า เดี๋ยวบานปลาย ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ตนจะดำเนินการกับทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนจะมีคนต้องติดคุกหรือไม่ขอให้รอติดตาม หลังจากนี้ก็จะออกมาเปิดเผยเรื่องการตรวจสอบวินัยร้ายแรงในอีก 2-3 วัน

ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์แย้งว่า  ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะเคยมีคนร้องไปแล้ว และครั้งนี้มาร้องซ้ำอีก แต่มั่นใจว่าชี้แจงได้ และมีคำสั่งแต่งตั้งด้วยความเป็นธรรม ซึ่งกระบวนการแต่งตั้ง ผบ.ตร.มีกรรมวิธีการรับฟังความคิดเห็นทุกคนอย่างเป็นธรรม มีการพูดคุยกันในวงกว้างถึงจะมีการสรุป

"คะแนนในการโหวตในวันประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ก็ชัดเจนแล้ว มีมติ 9 ต่อ 1 เป็นอะไรที่บ่งบอกชัดเจนว่ามีคนไม่ออกเสียง 1 คะแนน แต่นอกนั้นเป็นคนที่เลือก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์เป็น ผบ.ตร. ดังนั้นคนที่ไม่เห็นด้วย 1 เสียงก็เป็นเอกฉันท์"

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการร้องไปจนถึงการมีคำสั่งให้ไปช่วยราชการสำนักนายกฯ และการให้ออกจากราชการไว้ก่อน นายเศรษฐาตอบว่า เป็นเรื่องที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอมา และตนก็รับทราบเฉยๆ และที่จริงหากตนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกมาตรา 157 มากกว่า ขอย้ำว่ามั่นใจ เพราะทำตามกฎหมายทุกอย่าง และไม่ได้เข้าข้างใคร ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ใครคนใดคนหนึ่ง

คัดค้าน 'สุชาติ' ทำหน้าที่ ป.ป.ช.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการเผยแพร่เอกสารลงวันที่ 17  เม.ย. 67 ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ทำหนังสือขอคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการ  ป.ป.ช.และขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยเนื้อหาระบุว่า ขอให้ตรวจสอบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ว่านายสุชาติมีคุณสมบัติเป็นกรรมการ ป.ป.ช.หรือไม่ โดยมีข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้

"ประมาณเดือนธันวาคม 2562 นางรัตนา บุรพรัตน์  ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ และเป็นเพื่อนร่วมรุ่น หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 58  (วปอ.58) กับนายสุชาติ โดยนางรัตนาฯ ได้นัดหมายและพานายสุชาติฯ มาพบข้าพเจ้าที่ 48 ไวเลส คอนโดมิเนียม  ถนนวิทยุ โดยนายสุชาติฯ ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าช่วยเหลือพานายสุชาติฯ เข้าพบพลเอกประวิตร สนับสนุนให้ได้รับการคัดเลือกเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เนื่องจากนายสุชาติฯ  เห็นว่าตนเองมีคุณสมบัติด้อยกว่านายปรเมษฐ์ฯ มาก ถึงแม้จะมีตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.ว่างอยู่สองตำแหน่ง แต่คณะกรรมการสรรหาย่อมไม่คัดเลือกผู้พิพากษามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.พร้อมกันสองคนอย่างแน่นอน นายสุชาติฯ จึงต้องการเข้าพบพลเอก ประวิตรฯ เพื่อขอให้ช่วยสนับสนุนตนเองเป็นกรรมการ ป.ป.ช.

ด้วยความเกรงใจนางรัตนาฯ ข้าพเจ้าจึงช่วยนัดหมายให้นายสุชาติ ฯ เข้าพบพลเอก ประวิตรฯ เมื่อได้รับอนุญาตจากพลเอก ประวิตรฯ แล้ว ข้าพเจ้าจึงได้พานายสุชาติฯ นั่งรถไปกับข้าพเจ้าเพื่อเข้าพบพลเอก ประวิตรฯ ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เมื่อไปถึงข้าพเจ้าได้ให้นายสุชาติฯ ยืนรออยู่นอกห้อง ส่วนข้าพเจ้าได้เข้าไปรายงานสาเหตุที่นายสุชาติฯ ต้องการขอความช่วยเหลือจากพลเอก  ประวิตรฯ ซึ่งท่านก็บอกกับข้าพเจ้าว่า ท่านไม่ทราบว่าจะช่วยได้หรือเปล่า แต่ข้าพเจ้าก็ขอร้องให้นายสุชาติฯ ได้เข้าพบ และรับเรื่องไว้พิจารณา

พลเอก ประวิตรฯ จึงให้นายสุชาติฯ เข้าพบ โดยได้เข้ามายืนในห้องและรายงานตัว ชื่อ ตำแหน่ง พลเอก ประวิตรฯ ถามว่า 'อยากเป็นกรรมการ ป.ป.ช.หรือ' นายสุชาติฯ ตอบว่า 'ครับ ขออนุญาตมารับใช้ท่าน' พลเอก ประวิตรฯ พูดตอบว่า 'งั้นไปสมัครมา' จากนั้นนายสุชาติฯ ก็กราบลา พลเอก ประวิตรฯ กลับ จนกระทั่งต่อมาปรากฏว่า ในวันที่ 30 มกราคม 2563 นายสุชาติฯ ได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. จากคณะกรรมการคัดสรร

หลังจากที่นายสุชาติ ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช. แล้ว นายสุชาติฯ ได้ติดต่อมาหาข้าพเจ้าเพื่อขอให้พาไปเข้าพบพลเอก ประวิตรฯ เพื่อแสดงความขอบคุณ ข้าพเจ้าจึงได้พานายสุชาติฯ ไปเข้าพบพลเอก ประวิตรฯ ที่บ้านพักในหมู่บ้านกฤษดานคร 25 แขวงทรายกองดินใต้ เขตคลองสามวา กรุงเทพฯ โดยนายสุชาติฯ ได้นำพวงมาลัยเข้าไปกราบขอบพระคุณพลเอก ประวิตรฯ ที่ได้ช่วยเหลือสนับสนุนให้เป็นกรรมการ ป.ป.ช.  โดยข้าพเจ้าอยู่ร่วมในขณะเข้าพบด้วยและได้ยินนายสุชาติฯ พูดกับพลเอก ประวิตรฯ ว่าสำหรับเรื่องใน ป.ป.ช.  นายสุชาติฯ พร้อมจะรับใช้ มีอะไรให้พลเอก ประวิตรฯ สั่งผ่านมาที่ข้าพเจ้าได้เลย"

'พี่ต้องจัดการให้ผม'

"ต่อมาในระหว่างที่รอรับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ข้าพเจ้าได้นัดหมายให้นายสุชาติฯ พบกับนายสมบัติ ธรธรรม ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมการ ป.ป.ช. (พลตำรวจเอก สถาพร  หลาวทอง) ซึ่งข้าพเจ้าได้ยินชื่อเสียงมานาน จึงได้เข้าไปแนะนำตัวทำความรู้จักและพูดคุยกัน จากนั้นได้มีการขอหมายเลขโทรศัพท์เพื่อติดต่อกันและกัน ซึ่งข้าพเจ้าทราบมาว่านายสมบัติฯ เป็นมือทำงานด้านไต่สวนคดีสำคัญของ ป.ป.ช. มีผลงานใน ป.ป.ช. หากรู้จักกันไว้ก่อนจะสามารถช่วยเหลือหรือแนะนำนายสุชาติฯ เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.ได้

หลังจากที่นายสุชาติฯ เข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ  ป.ป.ช. ประมาณปี พ.ศ. 2564 นายสุชาติฯ ได้ขอนัดพบข้าพเจ้าที่คลับเฮาส์ สโมสรราชพฤกษ์ โดยนายสุชาติฯ แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า ถูกร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมและการปฏิบัติหน้าที่หลายเรื่อง โดยนายสุชาติฯ กล่าวหาว่านายสมบัติฯ เป็นผู้จัดทำหนังสือร้องเรียนดังกล่าว นายสุชาติฯ ขอให้ข้าพเจ้าจัดการกับนายสมบัติฯ เพื่อให้หยุดร้องเรียนนายสุชาติฯ เมื่อทราบเรื่องข้าพเจ้าได้โทรสอบถามจากนายสมบัติฯ ถึงเรื่องดังกล่าว นายสมบัติฯ ยืนยันว่าไม่ทราบเรื่องและไม่ได้เป็นผู้จัดทำ และไม่มีสาเหตุที่จะทำ เพียงแต่นายสมบัติฯ แจ้งว่า ในการทำงานก็มีที่ความเห็นทางคดีไม่ตรงกันบ้าง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา นายสุชาติฯ น่าจะเข้าใจผิดไปเอง

แต่นายสุชาติฯ ไม่เชื่อ และต่อว่าข้าพเจ้าว่าไปเชื่อคนนอก ไม่เชื่อคนใน พร้อมกับสั่งข้าพเจ้าว่า "พี่ต้องไปจัดการเรื่องนี้ให้ผม อย่าให้มีเรื่องร้องเรียนผมอีก" "พี่ต้องไปเอาคนที่ร้องเรียนผมออกมาจัดการด้วย" ซึ่งทำความไม่พอใจให้กับข้าพเจ้า เพราะพูดเหมือนสั่งข้าพเจ้าโดยไม่มีเหตุผล  เมื่อไม่มีหลักฐานแล้วจะไปโทษคนโน้นคนนี้ได้อย่างไร

ต่อมาเดือนธันวาคม 2564 ใกล้ปีใหม่ นายสุชาติฯ ได้นัดข้าพเจ้าไปทานกาแฟที่คลับเฮาส์สโมสรราชพฤกษ์               ข้าพเจ้ากับนายสุชาติฯ มีปากเสียงกัน สุดท้ายนายสุชาติฯ ได้กล่าวอาฆาตข้าพเจ้าขึ้นว่า 'พี่โจ๊ก อย่ามีเรื่องมาพึ่งผมบ้างก็แล้วกัน' จากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายกัน หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ได้ติดต่อกับนายสุชาติฯ อีก มีแต่นายสุชาติฯ ยังโทรมาต่อว่าข้าพเจ้าเรื่องไม่จัดการนายสมบัติฯ ให้"

อ้าง 'บิ๊กป้อม' เป็นพยาน

"และต่อมาก็ปรากฏตามข่าวว่า เมื่อมีเรื่องร้องเรียนกล่าวหาข้าพเจ้าและลูกน้องของข้าพเจ้าเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายสุชาติฯ ก็เป็นกรรมการ  ป.ป.ช.เสียงข้างน้อยเพียงเสียงเดียวที่มีความเห็นต่างกับกรรมการท่านอื่นๆ ซึ่งนายสุชาติฯ ก็ได้รับคำชมเชยจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งให้ข่าวเป็นปรปักษ์กับข้าพเจ้ามาโดยตลอด

ข้าพเจ้าจึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ส่งเรื่องของนายสุชาติ ไปยังประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาดำเนินการตรวจสอบพฤติกรรมของนายสุชาติฯ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีข้อมูลทั้งหมด เพื่อเป็นไปตามกฎหมายและอำนาจหน้าที่ต่อไป

ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนข้อเท็จจริงข้างต้น ข้าพเจ้าขออ้างพยานบุคคล ดังต่อไปนี้ 1.พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ 2.นางรัตนา บุรพรัตน์"

ด้านนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้สัมภาษณ์ว่า ขอไปดูข้อกฎหมายก่อน เพราะเวลามีเรื่องกันมันมีส่วนได้เสีย มีสาเหตุโกรธเคืองกัน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเหตุคัดค้านตามข้อกฎหมาย ต้องรับฟังเหตุผลทั้งสองฝ่าย เพราะเป็นเพียงแค่คำร้อง ต้องตรวจสอบคำร้องว่าระบุอย่างไร ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย เพราะโอกาสที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะถูกคัดค้านก็มีเยอะ

นายนิวัติไชยกล่าวว่า ที่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตรอยู่ในเอกสารนั้น ต้องไปดูว่า พล.อ.ประวิตรเป็นพยานในเรื่องอะไร

 เมื่อถามถึงกรณีเอกสารหลุดว่าออกมาได้อย่างไร เลขาธิการ ป.ป.ช.ถามกลับว่า "ตัวเขาเอาไปให้ผู้สื่อข่าวเองหรือเปล่า ไม่ใช่ ป.ป.ช.แน่ๆ ผมไม่รู้นะอันนี้"

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปฏิเสธเรื่องนี้ว่าไม่ทราบ ยืนยันว่าไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับนายสุชาติ ส่วนคนปล่อยเอกสารนั้นคงไม่ฟ้อง ปล่อยให้เป็นไปตามการตรวจสอบของกระบวนต่างๆ  และย้ำว่าไม่ทราบที่มาที่ไปเอกสารดังกล่าว

ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ว่า การตรวจสอบกรรมการ ป.ป.ช.ไม่ต้องส่งมาที่สภาฯ หากต้องการตรวจสอบก็ส่งเรื่องไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือได้เลย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง