เด้ง‘โจ๊ก’พ้นราชการ ‘บิ๊กต่าย’เซ็นคำสั่งฟันพร้อม4ลูกน้องเซ่นฟอกเงินเว็บพนัน

"รรท.ผบ.ตร." เซ็นคำสั่งให้  "บิ๊กโจ๊ก" พร้อม 4 ตำรวจลูกน้องคนสนิท ออกจากราชการไว้ก่อน และตั้ง กก.สอบสวนวินัยร้ายแรง หลังเข้าพบนายกฯ   รายงานผลสอบข้อเท็จจริงเหตุถูกดำเนินคดีอาญาและศาลออกหมายจับคดีฟอกเงินเว็บพนันออนไลน์ ยันทำตามระเบียบกฎหมาย ไม่หวั่นโดนฟ้องร้อง "พล.ต.อ.สุรเชษฐ์" ปัดตอบสื่อ โยนไปถามนายกฯ

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 18 เม.ย. เวลา 12.10 น. ภายหลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ  พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) ได้เดินทางเข้าพบนายกฯ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที

จากนั้น นายกฯ ได้เรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสำนักงานกฎหมายและคดี   สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าหารือต่อ ซึ่งคาดว่าเป็นการดูเรื่องข้อกฎหมายต่างๆ  โดยเฉพาะอำนาจของนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในเรื่องตำแหน่งสำคัญหากจะมีการกำหนดบทลงโทษต่างๆ ต้องให้ขึ้นอยู่กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีผู้บังคับบัญชาโดยตรงคือ รรท.ผบ.ตร. หรือนายกฯ หากมีคำสั่งให้มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี

กระทั่งเวลา 15.25 น. นายกฯ ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นการเดินทางมาพบของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐแต่อย่างใด

มีรายงานว่า นายเศรษฐาได้ลงนามหนังสือส่งตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่มีคำสั่งให้ไปช่วยราชการสำนักนายกฯ กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว

ต่อมาภายหลังการเข้าพบนายกฯ ของพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มีหนังสือคำสั่งที่ 178/2567 ลงวันที่ 18 เม.ย. เรื่อง ให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน ใจความว่า ด้วยข้าราชการตำรวจดังต่อไปนี้   1.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ 2.พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา 3.พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการป้องกันปราบปราม สถานีตำรวจภูธร พระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ 4.ส.ต.อ.ณัฐวุฒิ หวัดแวว ผู้บังคับหมู่ (ทำหน้าที่จราจร) งานปฏิบัติการจราจรตามโครงการพระราชดำริ 1  กองกำกับการ 6 กองบังคับการตำรวจจราจร และ 5.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผู้บังคับหมู่ งานสายตรวจ 1 กองกำกับการ 1 กองบังคับการ ตำรวจจราจร

กรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ชื่อ BNK MASTER จนถูกดำเนินคดีอาญาและถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐาน "สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและ เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน" และมีเหตุผลให้พักราชการได้ตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547 ข้อ 3 (1) คือถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทำผิดอาญา โดยผู้กระทำความผิดเป็นข้าราชการตำรวจ มีหน้าที่และอำนาจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัยของประชาชน ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา แต่กลับต้องหาว่ากระทำผิดทางอาญาเสียเอง ซึ่งเป็นคดีสำคัญ ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนและภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างร้ายแรง ถ้าให้คงอยู่ในหน้าที่ราชการอาจเกิดความเสียหายแก่ราชการได้ ประกอบกับได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการสอบสวนพิจารณาที่เป็นเหตุให้สั่งพักราชการนั้นจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว

อนึ่ง ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ได้ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 141 ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง และหากประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือคำวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนไปยังศาลปกครองภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือภายใน 90 วัน นับแต่วันพ้นกำหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอทราบผลการวินิจฉัยอุทธรณ์

นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐยังลงนามคำสั่ง ตร.ที่ 177/2567 เรื่อง แต่งตั้งกรรมการสอบสวนกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ลงวันที่ 18 เม.ย.2567 อีกด้วย

ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ถึงข่าวลือมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์  ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ระบุเพียงสั้นๆ ว่า  ให้ไปสอบถามนายกรัฐมนตรี

กระทั่งเวลา 18.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงการเซ็นคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกจากราชการไว้ก่อนว่า จากการพิจารณาในรายงานของคณะพนักงานสอบสวนที่ บช.น.ตั้งขึ้นมา และบช.น.รายงานว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์และข้าราชการทั้ง 4 นาย รวม 5 คน ได้กระทำผิดอาญาจริง จึงได้มีการเสนอความเห็นให้ตนปฏิบัติตามกฎหมาย คือ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 131 ซึ่งเป็นกรณีที่ข้าราชการตำรวจต้องหาคดีอาญา ประกอบกับมาตรา 112 ในรายละเอียดแห่งการพิจารณาว่าจะกระทำผิดวินัยร้ายแรงหรือไม่มาประกอบกัน

"จากการพิจารณาพบว่ามีความร้ายแรงของข้อเท็จจริงเกิดขึ้นจากการกระทำผิด ขณะนี้ถือว่าเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา และจากการที่ศาลได้ออกหมายจับด้วยทั้ง 5 ราย จึงจำเป็นที่จะต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาทางวินัยตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ จากนั้นพฤติกรรมต่างๆ และการสอบสวนของคณะกรรมการฯ คงจะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ก็ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันนี้   ก็เป็นไปตามกฎของ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักและออกราชการไว้ก่อนทุกประการ การลงนามผมในฐานะรักษาการ ผบ.ตร. มีอำนาจตามมาตรา 105 และ 108 ถือเป็นผู้บังคับบัญชาและรักษาการ คือมีอำนาจเช่นเดียวกับ ผบ.ตร." พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าว

รรท.ผบ.ตร.ยืนยันว่า ตนเป็นผู้ลงนามทั้ง 2 คำสั่ง ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี แต่ในกระบวนการขั้นตอนต้องรายงานให้นายกฯ รับทราบ เนื่องจากนายกฯ เป็นผู้ออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ไปปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกฯ หลังนายกฯ ได้รับทราบแล้วก็ลงนามส่งตัว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กลับมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถือเป็นกระบวนการปฏิบัติที่ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและกฎของ ก.ตร. ทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

ถามถึงกรอบระยะเวลาในการสอบวินัย รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า ก.ตร.และกฎหมายของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ได้บัญญัติเอาไว้เรียบร้อยแล้วว่า ทั้งการเริ่มกระบวนการ และการขอขยายเวลาภายใน 270 วัน ถ้าไม่เสร็จก็เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องเร่งรัดให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนด โดยมี พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รอง ผบ.ตร. เป็นประธานกรรมการสอบสวนทางวินัย

ซักว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ทราบเรื่องแล้วใช่หรือไม่ รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า เป็นเรื่องที่กองวินัยและคณะกรรมการฯ จะต้องแจ้งให้ท่านทราบ เรื่องนี้ตนพิจารณาตามกรอบของกฎหมาย และกฎของ ก.ตร.ทุกประการ ส่วนจะฟ้องร้องหรือดำเนินการอะไรโต้ตอบกลับมา ตนถือว่าเป็นสิทธิ์ของท่านที่จะทำได้ ซึ่งตนไม่มีความหวั่นวิตกหรือหวั่นไหวใดๆ เพราะถือว่าในฐานะรักษาการ ผบ.ตร. ต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง กฎ ก.ตร.ที่เกี่ยวข้องทุกประการ

เมื่อถามว่า นายกฯ ได้กำชับหรือสั่งการอะไรบ้าง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า ท่านให้ดำเนินการไปตามกฎหมายระเบียบคำสั่งอย่างเคร่งครัดและรอบคอบ เท่านั้นเอง ส่วนกรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ขณะนี้ตนทราบรายละเอียดแค่เพียงว่ามีการร้องทุกข์กล่าวโทษที่ สน.เตาปูน ดังนั้นกระบวนการก็ต้องไปเริ่มการสอบสวนที่ สน.เตาปูน ตามลำดับขั้นตอน

ซักว่าท่านเป็นหนึ่งในแคนดิเดต ผบ.ตร. และต้องดำเนินการเรื่องนี้จะส่งผลถึงตัวท่านหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐกล่าวว่า ไม่ได้คิดถึงประเด็นนั้น แน่นอนว่าตนคือแคนดิเดต แต่เคยพูดแล้วว่าไม่เคยคิดถึงตำแหน่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เคยพูดว่าตนขออยู่กับปัจจุบัน และทำวันนี้ให้ดีที่สุด ในบทบาทที่เป็นรักษาการ ผบ.ตร. บทบาทหน้าที่และอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ตนมีอำนาจไม่ต่างอะไรจากการเป็น ผบ.ตร. ก็ต้องพิจารณาตามหน้าที่และกฎหมาย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘ยิ่งลักษณ์’ กลับคุก ‘บิ๊กเสื้อแดง’ รู้มา! ว่าไปตามราชทัณฑ์ไม่ใช้สิทธิพิเศษ

“เลขาฯ แสวง” ยันเดินหน้าคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครองต่อ เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับกับศาล รธน. "จตุพร" ลั่นยังไม่จบ! ต้องดูสถานการณ์เป็นตอนๆ ไป

ล่า ‘หมอบุญ’ เมียแค้นเอาคืน

ออกหมายจับ "หมอบุญ" พร้อมพวก 9 คน ร่วมหลอกลวงประชาชนร่วมลงทุนธุรกิจ รพ.ขนาดใหญ่หลายโครงการ เสียหายกว่า 7,500 ล้านบาท

บี้ MOU44 เดือด ‘นพดล’ เกทับ! จบออกซ์ฟอร์ด

ปะทะคารมเดือด! “นพดล” โต้ “หมอวรงค์” หาความรู้เรื่องเอ็มโอยู 44 ให้ลึกซึ้ง โต้คนอย่างตนไม่ตอบมั่วๆ เพราะจบกฎหมายจากออกซ์ฟอร์ดและจบเนติบัณฑิตไทยและเนติบัณฑิตอังกฤษ

ลุ้นระทึก! เลือก ‘อบจ.’ 3 จว. ‘กกต.’ จับตาที่อุดรฯแข่งดุ

“เลขาฯ แสวง” มั่นใจเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี แข่งขันสูงไม่ใช่ปัญหา แต่ช่วยกระตุ้นประชาชนออกมาใช้สิทธิ เผยมีเรื่องร้องเรียน 2 เรื่อง ใส่ร้ายระหว่างผู้สมัคร เร่งตรวจสอบ