5วันอันตรายดับ206ศพ จับฝ่าฝืนกม.2แสนราย

ศปถ.พอใจอุบัติเหตุ 5 วันสถิติลดลง ตร.ยันตัวเลขจริง แต่ลดลงไม่ต่างจากปีที่แล้ว เผยตัวเลขจับกุมผู้ฝ่าฝืน กม.ร่วม 2 แสนราย ควบคุมปัจจัยเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ ขณะที่ถนนมิตรภาพ-พหลโยธิน-เอเชีย ขาเข้า กทม.แน่น คนทยอยกลับหยุดสงกรานต์วันสุดท้าย เผยตัวเลขคนใช้ บขส.-รถไฟ เดินทางถึง 12.38 ล้านเที่ยว       

วันที่ 16 เม.ย.2567 ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานแถลงผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน (ศปถ.) ช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ. 2567 เปิดเผยว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 15 เม.ย.2567 ซึ่งเป็นวันที่ห้าของการรณรงค์ “ขับขี่อย่างปลอดภัย  เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” เกิดอุบัติเหตุ 301 ครั้ง บาดเจ็บ 314 คน เสียชีวิต 39 ราย  สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็วร้อยละ 43.19 ดื่มแล้วขับร้อยละ 23.92 ตัดหน้ากระชั้นชิดร้อยละ 15.28 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ร้อยละ 83.82  ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรงร้อยละ 78.74, ถนนกรมทางหลวงร้อยละ 38.54, ถนนใน อบต./หมู่บ้านร้อยละ 31.89 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่เวลา 16.01-17.00 น. ร้อยละ 9.63 ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุดอยู่ในช่วงอายุ 20-29 ปี ร้อยละ 18.13 จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,756 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 51,386 คน โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ น่าน (14 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุดได้แก่ น่าน (16 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุดได้แก่ เชียงราย (4 ราย)

สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 5 วันของการรณรงค์ (11-15 เม.ย.67) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,564 ครั้ง ผู้บาดเจ็บรวม 1,593 คน ผู้เสียชีวิต รวม 206 ราย จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 17 จังหวัด จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ เชียงราย (61 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ น่าน (60 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานครและเชียงราย (13 ราย)

นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนตลอดทั้งปี  เปิดเผยว่า ในวันที่16 เม.ย.67 เส้นทางสายหลักและถนนที่เชื่อมต่อจากภูมิภาคเข้าสู่กรุงเทพมหานครมีปริมาณการจราจรหนาแน่น ประกอบกับสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่ผ่านมาในช่วงวันดังกล่าวมีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น ศปถ.จึงประสานจังหวัดและอำเภอบูรณาการตามแผนปฏิบัติการอย่างเข้มข้น เน้นการทำงานเชิงป้องกัน  โดยเฉพาะการป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนนเริ่มตั้งแต่ด่านชุมชนไปจนถึงด่านหลัก พร้อมประชาสัมพันธ์เส้นทางเลี่ยง ทางลัดจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ และบริเวณที่มีการก่อสร้างถนน รวมถึงดูแลความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะ พนักงานขับรถต้องมีสภาพร่างกายที่พร้อมในการขับรถ

ทางด้าน นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า สถิติคดีที่ศาลสั่งคุมความประพฤติในวันที่ 15 เม.ย. 2567 รวมทั้งสิ้น 242 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา  236 คดี และคดีขับเสพ 30 คดี สำหรับยอดรวมสะสม 5 วันของ  7 วันอันตราย มีจำนวน 4,132คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา 3,973 คดี คิดเป็นร้อยละ 96.15, คดีขับรถประมาท 3 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.07,  คดีขับเสพ 156 คดี คิดเป็นร้อยละ 3.78  โดยกรุงเทพมหานคร มีคดีเมาขับสูงสุดอันดับหนึ่ง 446 คดี รองลงมานนทบุรี 238 คดี และสมุทรปราการ 214 คดี เมื่อเปรียบเทียบสถิติคดีเข้าสู่คุมประพฤติสะสม 5 วันของ 7 วันอันตรายปี 2566 พบว่า คดีขับรถขณะเมาสุราจำนวน 5,869 คดี และปี 2567 จำนวน 3,973 คดี ลดลง 1,896 คดี คิดเป็นร้อยละ  32.3

ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.)  ระบุว่า ภาพรวมการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยง มีการจับกุมผู้ฝ่าฝืนจำนวน 209,000 ราย ตักเตือนผู้ที่กระทำผิดครั้งแรกกว่า 176,000 ราย รวมมีการบังคับใช้กฎหมายกว่า 385,000 ราย ทั้งนี้ ตร.รายงานข้อมูลและสถิติตัวเลขตามข้อเท็จจริงและทำอย่างตรงไปตรงมา เพื่อนำไปสู่การกำหนดมาตรการในการป้องกันในอนาคต หากมีการหลบตัวเลขก็จะสวนทางกับข้อเท็จจริงและไม่เกิดการป้องกันหรือแก้ไขปัญหา ยอมรับว่าจากที่ได้รับฟังรายงานสถิติ ตนเองพอใจเรื่องการลดอุบัติเหตุและการจราจร  ขอบคุณประชาชนที่เดินทางมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมในเรื่องของการปฏิบัติและเคารพกฎหมาย ซึ่งสถิติไม่แตกต่างมากจากปีที่แล้ว และแนวโน้มอยู่ในการควบคุมดูแลได้ และขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่ที่บังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

"มาตรการรองรับการเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ หลังเทศกาลก็คล้ายกับช่วงขาออก โดยพบว่าประชาชนเริ่มเดินทางกลับตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 เม.ย. มีปริมาณรถกว่า 5 แสนคัน โดยเริ่มหนาแน่นช่วงบ่าย และปกติตอน 21.00 น.  ส่วนวันนี้คาดการณ์ว่าจะมีการเดินทางกลับเข้ามาสูงสุดกว่า 6 แสนคัน โดยปริมาณรถเริ่มหนาแน่นแล้วทั้งสายเหนือและอีสาน มีการเตรียมเปิดเส้นทางพิเศษในเส้นทางหลักเส้นทางเลี่ยง บนถนนมิตรภาพและพหลโยธิน เชื่อว่ารถจะหนาแน่นต่อเนื่องจนถึงช่วงเช้าพรุ่งนี้" พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์กล่าว

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ภาพรวมการเดินทางสะสม 5 วัน โดยระบบขนส่งสาธารณะภายในประเทศและระหว่างประเทศ สามารถรองรับการเดินทางของประชาชนได้อย่างเพียงพอ โดยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ระดับ 12,831,026 คน-เที่ยว เพิ่มขึ้น 7.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 โดยระบบการขนส่งสาธารณะภายในประเทศ ระบบรางมีการใช้บริการสูงสุด คิดเป็นสัดส่วน 44.95% สำหรับการเดินทางของประชาชนที่ทยอยเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวง คุมเข้มมาตรการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง และเตรียมพร้อมระบบขนส่งสาธารณะ ต้องมีเพียงพอกับปริมาณผู้โดยสาร ต้องไม่มีการเอาเปรียบคิดค่าโดยสารเกินจริงอย่างเด็ดขาด

นายอรรถวิท รักจำรูญ กรรมการ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และรักษาการแทนกรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. เปิดเผยว่า คาดการณ์ว่าวันที่ 16 เม.ย. ประชาชนจะเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ หลังฉลองเทศกาลสงกรานต์ปี 67 อยู่ที่ 66,000 คน โดยจัดเตรียมรถโดยสาร (รถ บขส., รถร่วม, รถตู้) ประมาณ 4,000 เที่ยว ขณะที่วันที่ 17 เม.ย.67 คาดการณ์ไว้เช่นเดียวกันกับวันที่ 16 เม.ย.67 ขณะที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทาง โดยจัดขบวนรถพิเศษช่วยการโดยสาร 4 ขบวน เส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ 2 ขบวน และสายเหนืออีก 2 ขบวน ทั้งนี้ สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มประมาณ 5,000 คน นอกจากนี้ ได้มีการพ่วงตู้โดยสารเพิ่มเติมเข้ากับขบวนรถที่มีเดินประจำในทุกเส้นทางให้เต็มหน่วยลากจูง รวมถึงได้จัดเตรียมรถโดยสารสำหรับหมุนเวียนเพิ่มเติม หากรวมกับขบวนรถที่มีเดินประจำในทุกเส้นทาง  214 ขบวนต่อวัน จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงถึง 105,000 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานสภาพการจราจรบนถนนมิตรภาพมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ  ปริมณฑล และภาคตะวันออก มีพี่น้องประชาชนแห่เดินทางมุ่งหน้ากลับกันเป็นจำนวนมาก บนถนนคลาคล่ำไปด้วยปริมาณรถ นักท่องเที่ยวและชาวอีสานจำนวนมากที่เดินทางมาเที่ยวหรือมีภูมิลำเนาในจังหวัดทางภาคอีสาน จึงเร่งเดินทางกลับเพื่อจะได้เตรียมตัวเริ่มทำงานกันตามปกติในวันพรุ่งนี้ ส่งผลให้ถนนมิตรภาพ ปริมาณรถหนาแน่น เคลื่อนตัวได้ช้าสลับหยุดนิ่ง สามารถใช้ความเร็วได้ประมาณ 10-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต่อชั่วโมงมีรถวิ่งผ่านหลายพันคัน ทั้งถนนมิตรภาพ และถนนมอเตอร์เวย์ M6 และจะมีติดสะสมช่วงก่อนถึงทางแยกสัญญาณไฟจราจรเป็นระยะทางยาว โดยถนน M6 ช่วงทางขึ้น กม.3 ถนนบายพาสเลี่ยงเมืองนครราชสีมา และช่วงระยะเส้นทางผ่าน อ.ขามทะเลสอ, อ.สูงเนิน, อ.สีคิ้ว, อ่างเก็บน้ำลำคะคอง ปริมาณรถมากแต่คล่องตัว จนไปถึงช่วงก่อนลงมอเตอร์เวย์ ต.หนองสาหร่าย ไปบรรจบกับถนนมิตรภาพ ทำให้ปริมาณรถสะสมติดขัดอย่างหนักระยะทางกว่า 5 กม. และติดขัดไปตลอดเส้นทางจาก ต.หนองสาหร่าย-ต.กลางดง อ.ปากช่องฯ เจ้าหน้าที่ต้องเปิดช่องทางพิเศษ 20 กม.

ในขณะที่ ถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา มีปริมาณรถมากชะลอตัวหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณจุดพักรถของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ตั้งอยู่ริมถนนเลี่ยงเมืองนครราชสีมา เต็มไปด้วยรถของประชาชนที่มาจอดพักหลังจากเดินทางมาเป็นระยะทางยาวจากหลายจังหวัดทางภาคอีสาน จึงมาจอดแวะพักรถและพักคนกินข้าวและพักผ่อนคลายความเมื่อยล้าก่อนจะเดินทางต่อไปยังจุดหมาย ส่วนประชาชนที่จะเดินทางกลับไปยังจังหวัดทางภาคตะวันออก ก็จะใช้เส้นทางสาย 304 นครราชสีมา วังน้ำเขียว-ปราจีนบุรี ก่อนที่จะแยกต่อไปยังจังหวัดทางภาคตะวันออก

ส่วนบรรยากาศการเดินทางของประชาชนที่สถานีขนส่งผู้โดยสารนครราชสีมา แห่งที่ 2 มีประชาชนชาวโคราชและจังหวัดใกล้เคียง อาทิ จ.เลย, ชัยภูมิ, จ.อุดรธานี, จ.ขอนแก่น,  บุรีรัมย์, สุรินทร์, ศรีสะเกษ นำรถส่วนตัวเดินทางเข้ามายังสถานีขนส่งฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อมาส่งญาติพี่น้องเดินทางกลับไปยังกรุงเทพฯ ขณะที่พี่น้องประชาชนต่างอุ้มลูงจูงหลาน หอบหิ้วสัมภาระ ข้าวสาร ข้าวเหนียว อาหารแห้ง ข้าวเหนียวไก่ย่าง เดินทางไปรอขึ้นรถโดยสาร และรถตู้หนาแน่น นอกจากนี้ รถทัวร์โดยสารหลายจังหวัดทางภาคอีสาน ก็มาส่งผู้โดยสารที่สถานีขนส่งฯ  ด้วยเช่นกัน เพื่อส่งผู้โดยสารมาต่อรถเข้ากรุงเทพฯ ขณะที่บริเวณภายในชานชาลามีประชาชนที่มายืนรอเข้าแถวซื้อตั๋วรถทัวร์โดยสารเต็มไปหมดจนตู้จำหน่ายตั๋วบางบริษัทต้องปิดจำหน่ายตั๋วชั่วคราว เพื่อรอรถที่กลับจากกรุงเทพฯ

ทางด้านสภาพการจราจรบนถนนสายเอเชีย ตั้งแต่เขตรอยต่อ อ.พรหมบุรี  จ.สิงห์บุรี ผ่านเข้าเขต อ.ไชโย และ อ.เมืองฯ จ.อ่างทอง ไปจนถึงเขตรอยต่อของ อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา   การจราจรในช่วงบ่ายรถยนต์เริ่มหนาแน่น ใช้ความเร็วได้ในทางตรงประมาณ 90-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปริมาณรถจะติดสะสมสลับกับหยุดนิ่งตามคอสะพาน และทางร่วมเขตรอยต่อ อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา ใช้ความเร็วได้ 30-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้จัดกำลังคอยอำนวยความสะดวกเรื่องการจราจร เนื่องจากยังเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชนกันส่งผลทำให้รถชะลอตัวสลับกับหยุดนิ่ง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง