อสังหาเฮ!นิดจัดเต็ม คลอดชุดใหญ่กระตุ้นซื้อบ้าน/‘กาสิโน’ตั้งไข่ศึกษา30วัน

ครม.เห็นชอบมาตรการอุ้มพ่อค้าขายบ้าน คลอดแพ็กเกจใหญ่ทั้งลดค่าธรรมเนียม-ค่าโอนเหลือ 0.01% จากบ้าน 3 ล้านเป็นไม่เกิน 7 ล้าน พร้อมหักภาษีหากต่อเติมหรือปลูกสร้าง ธอส.จัดเต็มปล่อยกู้ 3 หมื่นล้าน “ออมสิน” ไม่น้อยหน้าทุ่ม 2 หมื่นล้าน “สศค.” โอ่ดันจีพีดีพุ่ง 1.7-1.8% ทั้งปีโตเกิน 4% แม้รายได้ท้องถิ่นหาย 2 พันล้าน “ธุรกิจอสังหาฯ” ดี๊ด๊า 7 สมาคมซูฮกเศรษฐาช่วยขายบ้านที่อยู่จมในตลาดกว่า 85% นายกฯ ยัน 10 เม.ย.ไม่มีเซอร์ไพรส์เรื่องดิจิทัล ครม.ยื้อกาสิโนต่อ ตั้ง กก.ศึกษาในอีก 30 วัน

เมื่อวันอังคารที่ 9 เมษายน 2567   นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า   ที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้กระทรวงการคลังออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ และการเตรียมการเพื่อรองรับการดำเนินการยกระดับประเทศไทยสู่ภูมิภาคเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก

นายเศรษฐายังกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)  ครั้งที่ 2/2567 ในวันที่ 10 เม.ย. คาดหวังเรื่องลดดอกเบี้ยอย่างไรว่า จุดยืนตนไม่เปลี่ยน เพราะเราเดือดร้อนกับเรื่องนี้มาเยอะ มีความคาดหวังว่าจะต้องลด

ขณะที่ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ  รมช.การคลัง แถลงว่า ครม.ได้อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือบ้านแถว อาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว หรือห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2567

 “ส่วนมาตรการอื่นๆ เช่น มาตรการสำหรับต่างชาติที่จะเข้ามาอยู่อาศัยได้นานขึ้น หรือมาตรการ LTV นั้น อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง” รมช.การคลังกล่าว

ด้านนายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  (ธอส.) กล่าวว่า ธอส.จะมีโครงการ Happy Home วงเงิน 20,000 ล้านบาท สำหรับซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร และเพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปี ระยะเวลา 5 ปี วงเงินต่อรายสูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท ระยะกู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยสามารถยื่นกู้ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ธ.ค.2568 และโครงการสินเชื่อ Happy Life วงเงิน 10,000 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.98% ต่อปี วงเงินต่อรายตั้งแต่ 2.5 ล้านบาทขึ้นไป โดยสามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันนี้ หรือจนกว่าจะเต็มกรอบวงเงิน

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการ ธนาคารออมสิน กล่าวว่า ธนาคารมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ วงเงินรวม 20,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการสินเชื่อบ้านออมสินเพื่อประชาชน วงเงิน 10,000 ล้านบาท และโครงการสินเชื่อ D-HOME วงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการในการเป็นเงินลงทุน โดยคิดดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.50% ต่อปี ระยะกู้สูงสุดไม่เกิน 4 ปี โดยสามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่ 17 เม.ย.2567

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)  กล่าวว่า ยังมีมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ต้องการปลูกสร้างบ้าน โดยกำหนดให้บุคคลธรรมดาหักลดหย่อนค่าจ้างก่อสร้างบ้านให้แก่ผู้รับจ้าง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจ่ายค่าจ้างตามสัญญาจ้าง ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธ.ค.2568 โดยให้หักลดหย่อนภาษีได้ 1 หมื่นบาทต่อทุกจำนวนค่าก่อสร้าง 1 ล้านบาท ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมไม่เกิน 1 แสนบาท เฉพาะค่าจ้างก่อสร้างบ้านไม่เกิน 1 หลัง ในปีภาษีที่ก่อสร้างบ้านเสร็จ

นานพรชัยกล่าวว่า ยังมีการส่งเสริมกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (โครงการบ้าน BOI) โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 3 ปี ในวงเงินไม่เกิน 100% ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด และต้องยื่นขอรับการส่งเสริมภายในวันทำการสุดท้ายของปี 2568 เป็นต้น

นายพรชัยประเมินว่า มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ ผ่านการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองนั้น จะช่วยทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้นราว 1.58% ส่วนมาตรการด้านภาษีมีผลกับเศรษฐกิจราว 0.01% ขณะที่มาตรการสินเชื่อจาก ธอส.จะมีผลต่อเศรษฐกิจ ราว 0.07-0.08% รวมทุกมาตรการคาดว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ 1.6% และหากรวมธนาคารออมสิน คิดว่ามาตรการทั้งหมดจะมีผลต่อเศรษฐกิจ 1.7-1.8% ดันจีดีพีปีนี้ทั้งปีโตเกิน 4%

ภาคธุรกิจอสังหาฯ ดี๊ด๊า

 “มาตรการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาภาระให้แก่ประชาชน รวมถึงส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยคาดว่ามาตรการลดค่าจดทะเบียนการโอนและจำนอง จะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นราว 2,000 ล้านบาท” นายพรชัยกล่าว

ขณะที่ นายอิสระ บุญยัง ประธานคณะกรรมการสมาคมการค้ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ออกแบบและก่อสร้าง   สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า 7 องค์กรด้านอสังหาริมทรัพย์ได้ทำหนังสือถึงนายกฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้รัฐบาลได้ออกมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศผ่านภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จนได้รับการอนุมัติจาก ครม.เมื่อวันที่ 9 เม.ย.ทั้ง 7 องค์กร ต้องขอขอบพระคุณ ครม.

นายอิสระกล่าวอีกว่า มาตรการเรื่องลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองในการซื้อที่อยู่อาศัยจากระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 7 ล้านบาท ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการลดภาระ  และไม่ใช่กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น เนื่องจากที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท มีสัดส่วนเกินกว่า 85% ของการซื้อขายที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ทั้งที่อยู่อาศัยมือหนึ่งและมือสอง จะส่งผลดีต่อธุรกิจเชื่อมโยงต่างๆ  จำนวนมาก ในขณะที่มาตรการนำเงินที่ว่าจ้างก่อสร้างบ้านมาลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในจำนวนล้านละ 10,000 บาท โดยรวมไม่เกิน 100,000 บาท นอกจากช่วยกระตุ้นให้ประชาชนก่อสร้างที่อยู่อาศัยบนที่ดินของตัวเอง รัฐบาลยังสามารถเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ของการซื้อวัสดุก่อสร้างต่างๆ ในการก่อสร้างบ้าน และผู้รับจ้างสร้างบ้านต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลอีก 20% แล้วแต่กรณี เป็นการจูงใจให้ผู้ทำธุรกิจรับสร้างบ้านต้องเข้าสู่ระบบเสียภาษีมากขึ้น

ส่วนมาตรการขยายวงเงินสินเชื่อบ้านล้านหลังจาก 1.5 ล้านบาท เป็น 3 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3% เป็นผลดีอย่างมากต่อผู้มีรายได้น้อยและปานกลางที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย เพราะสามารถขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ในขณะที่การส่งเสริมให้มีการจัดสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลางโดยใช้หลักเกณฑ์ของบีโอไอ สำหรับที่อยู่อาศัยระดับราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จะมีส่วนผลักดันสำคัญให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและปานกลางมากขึ้นทั่วประเทศ

 “ช่วงหลายปีที่ผ่านมา อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเติบโตในอัตราต่ำมาอย่างต่อเนื่อง ทั้ง 7 องค์กรด้านอสังหาริมทรัพย์มีความเห็นว่า มติ ครม.ที่ออกมาและการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเป็นการกระตุ้นธุรกิจอุตสาหกรรมจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภาคสถาบันการเงินด้วยพร้อมกันนั้นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของที่อยู่อาศัยและการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศในระยะยาวต่อไป รวมถึงจะส่งผลในเชิงบวกต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและภาคการลงทุนอื่นๆ รวมถึงความเชื่อมั่นของภาคครัวเรือนด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมต่อไป”

ลั่น 10 เม.ย.ไร้เซอร์ไพรส์

วันเดียวกัน นายเศรษฐายังให้สัมภาษณ์ถึงความพร้อมในการแถลงข่าวโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ในวันที่ 10 เม.ย.ว่า พร้อม   วันนี้จะมีการซักซ้อมกันในตอนเย็นอีกที โดยจะกลับมาหลังไปเปิดหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 1 ตอนบ่าย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะเป็นเซอร์ไพรส์ใหญ่สงกรานต์ให้ประชาชนใช่หรือไม่  นายกฯ กล่าวว่า ไม่ใช่เซอร์ไพรส์ เพราะบอกมาตั้งนานแล้วว่าวันที่ 10 เม.ย.จะแถลงอย่างชัดเจน เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ทุกอย่างถูกต้องรับฟังความคิดเห็นอย่างครบถ้วนในทุกภาคส่วน

เมื่อถามว่า มีการพูดกันว่าจะใช้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน นายกฯ ย้อนถามว่าใครพูดครับ  ผู้สื่อข่าวตอบกลับว่า ฝ่ายค้านมีการพูดกัน นายกฯ ย้ำว่า “ผมแถลงข่าววันที่ 10 เม.ย.ครับ และวันที่ 10 เม.ย.ก็จะมีการประชุมก่อน นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความสับสนกัน ผมขอความกรุณาดีกว่า คอยวันที่ 10 เม.ย.”

ขณะเดียวกัน มีการประชุมวุฒิสภานัดสุดท้าย ก่อนปิดสมัยการประชุม โดยก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระ นายคำนูณ สิทธิสมาน สว. ได้ฝากไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับประเด็นการใช้เงินในโครงการเงินดิจิทัล วอลเล็ตว่า สาระสำคัญการจัดทำงบประมาณปี 2568 เป็นงบขาดดุลสูงสุด 8.65 แสนล้านบาท ยอดรวมทั้งสิ้น 3.75 ล้านล้านบาท ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากร่างเดิม 1.52 แสนล้านบาท ซึ่งจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ เพราะรัฐบาลจะแถลง 10 เม.ย. โดยเชื่อว่า ครม.จะอนุมัติเห็นชอบตามที่ 4 หน่วยงานของรัฐเสนอกรอบงบประมาณ ปี 2568 มา ทำให้คาดการณ์ทิศทางของโครงการได้ไม่ยาก คือ 1.ไม่ออกกฎหมายพิเศษกู้เงิน 500,000 ล้านบาท 2.ใช้เงินจากงบประมาณ โดยผสมผสานจากงบ ปี 2568 ที่ขาดดุลเพิ่มจุด 1.5 แสนล้านบาท แล้วตัดออกมาจากส่วนงานอื่นก็น่าจะได้ประมาณ 3.5-3.7 แสนล้านบาท ประเด็นอยู่ที่ยังขาดเงินอีก 1.3 แสนล้านบาท จะเอามาจากไหน จึงคาดการณ์กันว่าปลอดภัยที่สุดคือ มาจากงบประมาณ ปี 2567 โดยแปลงงบประมาณออกมาอีกไม่เกิน 1.3 แสนล้านบาท ถ้าขาดเหลือบ้างก็ให้ธนาคารรัฐปฏิบัติตามมาตรา 28 ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง

“เห็นด้วยกับวิธีการใช้เงิน คือใช้จากเงินงบประมาณ เพราะใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายผ่านรัฐสภาแล้ว ไม่ใช่เงินนอกงบประมาณที่ออกกฎหมายพิเศษกู้เงิน แต่ปัญหาที่รู้สึกหน้าชาเหมือนถูกตบหน้า เพราะในส่วนที่จะนำเงินมาจากงบประมาณปี 2567 ที่ผ่านมาไม่มีใครอภิปรายเรื่องเงินดิจิทัล ทั้งในชั้นของ สส. และ สว. โดยไม่มีชื่อโครงการนี้อยู่ในร่างงบประมาณ ดังนั้นการจะแปลงงบประมาณออกไปก็เหมือนกับว่าโครงการไม่ได้ถูกตั้งมาตั้งแต่ต้น ทั้งที่รัฐบาลสามารถทำได้ และมีหลายคนแนะนำให้รัฐบาลทำ” นายคำนูณกล่าว

นายคำนูณกล่าวว่า ช่วงเวลานั้นรัฐบาลสาละวนอยู่กับการออกกฎหมายพิเศษกู้เงิน ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อผ่านสภาก็จริง แต่เหมือนไม่ผ่านประเด็นอยู่ที่ว่าในที่สุดก็ต้องเอาจากงบประมาณ ปี 2567 เมื่อไปดูกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว รัฐบาลมีความจำเป็น และเห็นว่ารัฐบาลต้องแถลงให้ชัดเจนว่าการนำงบประมาณปี 2567 ประมาณ 1.3 แสนล้านบาท รัฐบาลต้องตราเป็น พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีผ่านสภาตามปกติเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญการตัดงบประมาณออกมาได้ 1.3 แสนล้านบาท ก็มีข่าวที่คาดกันว่าจะตัดมาจากงบกลาง 4-5 หมื่นล้านบาท จึงเป็นร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณที่แปลกกว่าทุกฉบับที่เคยมีมา

ยื้อเวลากาสิโนไปอีก 30 วัน

“ปกติจะตัดจากหน่วยงานอื่นๆ มาไว้ที่งบกลาง แต่กรณีนี้จะตัดจากงบกลางมาไว้เพื่อใช้ในโครงการใหม่ที่ไม่เคยพิจารณาในชั้นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี หากรัฐบาลจะออกร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี เมื่อไม่ระบุเช่นนี้ เงื่อนเวลาจึงสำคัญ เพราะถ้าออกกฎหมายโอนงบประมาณมาก่อน จะรู้ได้อย่างไรว่างบกลางจะเหลือ หากก่อน 30 ก.ย.เกิดเหตุฉุกเฉินมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องใช้งบกลาง  สามารถอธิบายได้หรือไม่” นายคำนูณกล่าว

นายเศรษฐายังแถลงผลประชุม ครม. เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ว่า ที่ประชุม ครม.ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังศึกษาความเป็นไปได้ในการศึกษาถึงรายละเอียดผลการพิจารณาการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ให้นำกลับมาเสนอต่อ ครม.ภายใน 30 วัน

น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ครม.รับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรเพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ของ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร สภาผู้แทนราษฎร และได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพศึกษา เปิดเวทีรับฟังความเห็นรอบด้าน และนำกลับเสนอ ครม.ภายใน 30 วัน เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหกรรมในกลุ่ม Fun economy เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การท่องเที่ยว กีฬา สถานบันเทิง ธุรกิจการจัดประชุมและจัดนิทรรศการ ซึ่งไทยนับว่ามีศักยภาพเพื่อต่อยอดอุตสาหกรรม Fun economy ผ่านสถานบันเทิงครบวงจร.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สามารถ' งง 'พปชร.' เดือดร้อนแทน 'รัฐบาล-นายกฯ' สงสัย เป็นลูกไล่หรือพรรคร่วมกันแน่

'สามารถ' งง ทำไม 'พปชร.' เดือดร้อนแทน 'รัฐบาล-นายกฯ' สงสัย เป็นลูกไล่ หรือพรรคร่วมกันแน่ ยัน วิจารณ์ในนามส่วนตัว ไม่ได้ทำพรรคเสียหาย ท้าหากทำไม่ได้ ก็เขียนในข้อบังคับกำกับไว้