‘เสี่ยนิด’สบช่อง แขวะแบงก์ชาติ เมินหั่นดอกเบี้ย

หน่วยงานรัฐหนุน รบ.ลดดอกเบี้ย “เศรษฐา” ได้ที ชมเหล่าทัพมีจิตใต้สำนึกที่ดี เห็นความเดือดร้อนประชาชน หวังกระทบชิ่ง ธปท. ยกหนี้เป็นสารตั้งต้นหายนะ “พิชัย” เอาด้วย ไล่บี้แบงก์ชาติ นายกฯ ปลื้มห้างดัง เด้งรับจัดบูธผ้าขาวม้า

เมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เป็นประธานรับฟังการแถลงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินเงินกู้แก่บุคลากรส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ

พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมแบ่งการแก้ปัญหาเรื่องหนี้สินเป็น 2 ด้าน คือ 1.นโยบาย และ 2.ข้อกฎหมาย โดยมีมาตรการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสหกรณ์ออมทรัพย์ต่ำกว่าสถาบันการเงิน การอบรม การประสานทำข้อตกลงกับสถาบันการเงินเพื่อแบ่งเบาภาระดอกเบี้ย การเจรจาประนอมหนี้ และทำโครงการเชิงนโยบายเพิ่มรายได้ ควบคู่กับการแก้ปัญหาหนี้สิน และการเพิ่มรายได้ให้ครอบครัวทหารชั้นผู้น้อย

พล.อ.สวราชย์ แสงผล หัวหน้าคณะนายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา กองบัญชาการกองทัพบก กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการช่วยกำลังพลแก้ไขปัญหาหนี้อย่างต่อเนื่อง พร้อมให้ความรู้ด้านการเงินแก่กำลังพล แต่ยังพบมีปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะผลอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงจากสถาบันการเงินต่างๆ ไม่สามารถทำให้กำลังพลปลดหนี้สินได้ กองทัพบกจึงขอให้รัฐบาลปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้กับสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อให้เหมาะสมและเป็นธรรม นอกจากนี้กำลังพลจำนวนหนึ่งมีหนี้สินค้างมาจาก กยศ. ตั้งแต่ก่อนเข้ามารับข้าราชการ ส่วนใหญ่เกิดจากการผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ที่ต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละ 18 ส่งผลให้หนี้สินเพิ่มพูนจำนวนมาก และเรื้อรังเป็นระยะยาว จึงขอให้รัฐบาลใช้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดเหลือร้อยละ 0.5 เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวกับ กยศ.ฉบับใหม่

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตำรวจ 2 แสนนาย มีหนี้สิน 1.5 แสนนาย คิดเป็นร้อยละ 80 ของกำลังพลทั้งหมด รวมเป็นหนี้สินกว่า 170 ล้านบาท ที่ผ่านมามีคนเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้กว่า 1 หมื่นคน และแก้ปัญหาหนี้สินได้แล้วกว่า 7 พันคน รวมเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท เหลือประมาณกว่า 140  รายที่ยังต้องดำเนินการอยู่ รวมมูลหนี้กว่า  400 ล้านบาท ส่วนในอนาคตตำรวจจะให้ความรู้เพื่อไม่ให้มีหนี้ รวมถึงแก้หนี้ เช่น เจรจากับสหกรณ์ตำรวจกว่า 30 แห่ง ให้มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า 4.75 เป็นไปตามแนวทางที่รัฐบาลขอความร่วมมือไป

นายเศรษฐากล่าวภายหลังการรับฟังแถลงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้ ว่า ส่วนตัวเชื่อว่าหลายคนอาจจะไม่ได้ประสบปัญหาเยอะแบบเดียวกับข้าราชการอีกหลายแสนคน ข้าราชการเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติ แต่ยังมีหนี้สินชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำงานเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ดอกเบี้ย ถือเป็นสารตั้งต้นหายนะของประเทศ ต้องขอใช้คำนี้เพราะไม่ใช่แค่เพียงมีเงินไม่พอ แต่หันไปพึ่งสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉะนั้น การรวมตัวกันในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขกฎหมาย รวมถึงสินเชื่อพิเศษ ลดดอกเบี้ย ตนเข้าใจว่าหลายหน่วยงานต้องหวังเรื่องการปันผลหรือผลกำไรแม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะไม่ลด แต่หน่วยงานช่วยกันลด ขอขอบคุณจากใจจริง และเชื่อว่าข้าราชการในหน่วยงานนั้นก็ขอบคุณเช่นเดียวกัน

จากนั้นนายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีส่วนใหญ่อยากให้มีการลดดอกเบี้ย ว่า ตนคิดว่าทุกคนรับฟังอยู่ ตามที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลพูดถึงเรื่องลดดอกเบี้ยทั้งหมด เพราะถ้าลดดอกเบี้ยมันจะช่วยลดรายจ่ายส่วนหนึ่ง

 “อย่างที่บอก ถ้าแบงก์ชาติไม่ลด อย่างน้อยหน่วยงานเหล่านี้ก็มีจิตใต้สำนึกที่ดีที่มีการลดดอกเบี้ย ผมขอขอบคุณ เพราะการทำงานเหล่านี้ต้องทำด้วยใจจริงๆ เชื่อว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพและเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็เห็นความลำบากของพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเรื่องภาระหนี้สินหรืออะไรต่างๆ เหมือนที่ผมแถลงในที่ประชุมว่ามันเป็นสารตั้งต้นของหายนะของประเทศด้วย ต้องช่วยกันไปก่อนตอนนี้” นายเศรษฐาย้ำ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยดูแย่ลง หลายสำนักเริ่มลดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้เหลือเพียง 2% กว่าเท่านั้น อาจจะแย่กว่านี้หากทุกหน่วยงานไม่เร่งร่วมมือช่วยกันแก้ไข ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจที่ทำท่าจะแย่ลง และหนี้เสียมีแนวโน้มจะมากขึ้น จึงจำเป็นที่ ธปท.จะต้องเร่งลดดอกเบี้ยนโยบายลงและลดช่วงห่างดอกเบี้ยเงินกู้เงินฝากได้แล้ว เหมือนที่เลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอไว้ เพราะค่าเงินบาทยังแข็งค่าและเงินสำรองระหว่างประเทศของไทยยังคงมีเป็นจำนวนมาก

นายพิชัยกล่าวอีกว่า การลดดอกเบี้ยนโยบาย จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง จะช่วยทำให้การส่งออกเพิ่มขึ้น อีกทั้งจะส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยมากขึ้น น่าจะตรงข้ามกับที่ผู้ว่าฯ ธปท. บอกว่าลดดอกเบี้ยจะไม่ช่วยให้นักท่องเที่ยวจีนมามากขึ้น และไม่ช่วยให้ส่งปิโตรเคมีไปจีนได้มากขึ้น ซึ่งไม่น่าจะจริง ไม่ทราบท่านผู้ว่าฯ ธปท. ใช้หลักการอะไรพิจารณาถึงได้พูดแบบนั้น เพราะขนาดค่าเงินบาทไม่อ่อนเท่าไหร่ นักท่องเที่ยวตั้งแต่ 1 ม.ค. ถึง 10 มี.ค. ยังเข้ามาเที่ยวไทยมากถึง 7.4 ล้านคน

วันเดียวกัน ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายเศรษฐากล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดการประชุมระดมความคิดเห็น IGNITE THAILAND’S TOURISM ตอนหนึ่งว่า เชื่อว่าการระดมสมองในวันนี้ ไม่ใช่การจุดพลุ การที่ตนเดินทางไปต่างประเทศ หรือสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นเรื่องที่เราสามารถจุดประกายเรื่องการท่องเที่ยวได้ ให้นักท่องเที่ยวเข้ามาอีกมากมาย ควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งปีหน้าเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ แต่เราจะเริ่มตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป ให้มีเวลาอีก 6 เดือน ใครทำอะไรได้คิดอะไรได้ วันนี้การระดมสมองของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มีจิตใจรักชาติ และช่วยกันมาพัฒนาประเทศ

นายกฯ ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีห้างสรรพสินค้าในไทยเปิดบูธจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายผ้าขาวม้าว่า ต้องขอบคุณห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ สยามพิวรรธน์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และคิงเพาเวอร์ จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 15 มี.ค. ไปจนถึงสิ้นเดือน มี.ค.นี้ ส่วนรายละเอียดจะเป็นสาขาอะไรบ้างค่อยว่ากัน นอกจากผ้าขาวม้าแล้ว อาจจะมีผลิตภัณฑ์อื่นที่เกี่ยวข้องด้วย แล้วแต่เขาจะเห็นว่าสมควร  อย่างกระเป๋าที่สานจากกระจูดน่าจะมาด้วย แต่ตนยังไม่ทราบรายละเอียดสักเท่าไหร่ เขากำลังทำงานกันอยู่ เพราะเป็นที่ต้องการ มีคนถามหากันมาเยอะมาก เป็นเรื่องที่น่ายินดี จะได้ช่วยสนับสนุน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นับหนึ่ง‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ยังขลุกขลัก ‘ย้ายทะเบียนบ้าน’ส่อทำเงินกระจุก

เริ่มแล้ว! อย่างเป็นทางการสำหรับ โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โครงการ เรือธง ของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เปิดให้ประชาชนได้ลงทะเบียนวันแรก 1 สิงหาคม 2567 ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”