โต้อิจฉานายกฯทัวร์นอก

“เศรษฐา” โอ่ผลหารือ “มาครง” พร้อมหนุนวีซ่าเชงเกนให้ไทย ระบุประธานาธิบดีเมืองน้ำหอมจะมาเยือนไทยปีหน้า รัฐมนตรีพาเหรดเรียงหน้าป้องนายกฯ ทัวร์นอก สมศักดิ์บอกเป็นมิติใหม่ในการบริหารชาติ “หมอมิ้ง” ยกต่อไปผ้าขาวม้าอาจเทียบชั้นผ้าหลุยส์วิตตอง  “อนุทิน” ระบุไป 10 ครั้งขายได้ 3 ครั้งก็คุ้มแล้ว “จิรายุ” หนุนสุดลิ่ม 6 เดือนไป 16 ประเทศยังน้อยไป “ก้าวไกล” ดีเดย์ยื่นญัตติซักฟอก 13 มี.ค. จองกฐิน “ดิจิทัลวอลเล็ต-ซอฟต์พาวเวอร์-แก้รัฐธรรมนูญ” กัดฟันมีเรื่อง “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” แต่ยังไม่รู้ใครเจ้าภาพ

เมื่อวันอังคารที่ 12 มีนาคม ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส นายเศรษฐา  ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือกับนายเอมมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ว่าประธานาธิบดีมาครงยินดีให้ความร่วมมือและสนับสนุนไทยในการยกเว้นการตรวจลงตรา VISA FREE สำหรับประเทศในเชงเกน โดยจะเริ่มพิจารณาได้หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาสหภาพยุโรป ซึ่งจะเสร็จสิ้นประมาณเดือน มิ.ย. และหวังว่าไม่เกินปลายปีน่าจะเสร็จสิ้น

 “มีเรื่องที่น่ายินดีคือในเดือน พ.ค.2567 คณะนักธุรกิจไทยจะมาฝรั่งเศส และในเดือน ก.ย. คณะธุรกิจฝรั่งเศสจะเดินทางเยือนประเทศไทย รวมถึงประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะเยือนไทยปีหน้าด้วย” นายเศรษฐากล่าว และว่า  บรรยากาศในการหารือเป็นไปอย่างสบายๆ เป็นกันเอง และยังได้ใช้โอกาสนี้อธิบายถึงสถานการณ์ในเมียนมา การดำเนินการต่างๆ โดยได้ย้ำว่าไทยเป็นกลาง และเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกฝ่ายมาพูดคุยกัน

ต่อมานายเศรษฐาทวีตข้อความผ่าน x  ระบุว่า มีกำหนดการเดินทางไปเมืองคานส์ แต่บังเอิญเครื่องบินขัดข้อง จึงตัดสินใจขึ้นเครื่องพาณิชย์ที่ฝรั่งเศสไปกับการ์ดฝรั่งเศสกัน 2 คน แต่ไม่เป็นไร งานมาก่อน เพราะงานมหกรรมอสังหาริมทรัพย์นานาชาติ (MIPIM 2024) The Global Urban Festival เป็นงานมหกรรมอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก มีรัฐมนตรีจากฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร เยอรมนี และโอมาน นักลงทุนกว่า 6,500  ราย รวมทั้งผู้เข้าร่วมจากทั้งองค์กรของรัฐ สถาบันการเงิน และบริษัทชั้นนำจาก 90 ประเทศ ทั่วโลกกว่า 22,500 คน ถือเป็นงานสำคัญที่เราพลาดไม่ได้ และจะได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "better infrastructure in an age of risk, scarcity and emergency” เพื่อแสดงวิสัยทัศน์แบ่งปันประสบการณ์ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของไทยที่งานด้วย

ด้านนายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุว่า นายเศรษฐามีกำหนดการเดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2567 ณ จังหวัดพะเยา และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย น่าน พะเยา และแพร่) จ.เชียงใหม่ และลำปาง ระหว่างวันที่ 18-19 มี.ค.

ขณะที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แทนนายเศรษฐา ถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในการเดินทางไปต่างประเทศของนายเศรษฐาว่าไม่คุ้มกับงบประมาณและผลงานว่า การที่นายกฯ เดินทางไปต่างประเทศประมาณ 16 ประเทศ และเดินทางไปลงพื้นที่จังหวัดต่างๆ ถือเป็นมิติใหม่ เป็นเรื่องที่ดีมาก เหมือนกรณีรัฐมนตรีอื่นๆ ก็เช่นกัน หากนั่งทำงานในกระทรวงเพียงอย่างเดียวและไม่มีความคิดอะไรใหม่ๆ เข้ามาเลย ประเทศจะอยู่กับที่ การใช้งบประมาณจะเป็นรูปแบบเดิม ซึ่งไม่สามารถขยายความเจริญ ไม่ว่าเรื่องของการลงทุนหรือรายได้ที่จะเข้ามาสู่ประเทศ

“ถ้านายกฯ ไม่เปิดแนวทางหรือประเด็นใหม่ๆ ให้มากๆ เราจะไปหารายได้เข้าประเทศจำนวนมากได้อย่างไร ถ้านายกฯ ทำงานต่อไปให้ครบ 4 ปี ก็จะมีข้อมูลจำนวนมากจากการเดินทางไปต่างประเทศ และนำมาพัฒนา ซึ่งจะเป็นผลบวกอย่างมาก ถ้ามัวจะไปคิดว่าในประเทศยังไม่มีเงินใช้จ่าย แต่กลับต้องไปเสียค่าเครื่องบิน ค่าที่พักในการเดินทางไปต่างประเทศ มันเป็นเรื่องที่เล็กมากสำหรับค่าใช้จ่ายตรงนี้ หากเปรียบเทียบกับโอกาสและผลประโยชน์ที่จะได้มา สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะไปพูดหรือเสียดสี” นายสมศักดิ์กล่าว

นายสมศักดิ์ยังกล่าวว่า ยังมีคนไปพูดเสียดสีกรณีนายกฯ นำผ้าขาวม้าไปใช้เพื่อให้ชาวต่างประเทศได้เห็น ซึ่งการที่นายกฯ  เดินทางไปต่างจังหวัดแล้วมีประชาชนนำผ้าขาวม้ามามอบให้ รวมทั้งของฝากอื่นๆ  การที่นายกฯ นำผ้าขาวม้าติดตัวไปต่างประเทศด้วย แสดงให้เห็นว่านายกฯ มีความคิดถึงพี่น้องประชาชน คิดถึงคนต่างจังหวัด แม้จะเดินทางไปอยู่ต่างประเทศ ไปทำงาน แต่ใจก็ยังนึกถึงชาวบ้าน คิดว่าเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งที่นายกฯ มีแนวคิดและไอเดียในการพูดคุยกับพี่น้องประชาชน ว่าแม้ตัวจะไปต่างประเทศ แต่ยังไม่ลืมคนไทย สร้างความรู้สึกของความใกล้ชิดตลอดเวลา เพราะมีผ้าขาวม้าติดตัวไป

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ กล่าวเช่นกันว่า รัฐบาลมองแบบยุทธศาสตร์ การที่นายกฯ ไปเปิดประเทศให้คนรู้จัด ให้เขาเข้ามาติดต่อค้าขายกันมากขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้น ถือเป็นพื้นฐานของเศรษฐกิจ และอย่าลืมวันนี้งบประมาณยังไม่ผ่านสภา ที่ผ่านมาเราใช้วิธีบริหารจัดการเป็นหลัก สามารถเพิ่มโอกาสได้มากมาย ถามว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความพยายามหรอกหรือ และไม่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ หรือ

“วิธีการคิด นักวิจารณ์หลายคนบอกว่าไปภาคใต้เกาไม่ถูกจุด ไม่ถึงรากฐานของปัญหา ก็เพราะแก้แบบเดิมๆ มาเกือบ 20 ปี ตอนนี้เราแก้แบบเดิมบวกวิธีใหม่เพิ่มเรื่องเศรษฐกิจ เห็นหรือไม่ผ้าขาวม้าที่นายกฯ ใช้เป็นผ้าพันคอไปปรากฏอยู่ต่างประเทศได้ ไม่ใช่ของใหม่ คงจำภาพผ้าพันคอยี่ห้อจากอาหรับที่ตีตรายี่ห้อหลุยส์วิตตองปรากฏตามห้าง ถือเป็นตัวอย่างเล็กน้อยที่ปรากฏผล” นพ.พรหมินทร์กล่าว

เซล 10 ครั้งขายได้ 3 คุ้มแล้ว

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย กล่าวเช่นกันว่า ถ้าไม่มีผลงานนายกฯ คงไม่ยอมลำบากตัวเองเดินทางไปขนาดนี้ การเดินทางด้วยอายุ 62 ปีไม่ใช่เรื่องสนุก ถ้าไม่มีเป้าหมาย ความเชื่อมั่น และความคาดหวัง ท่านคงไม่ไป ซึ่งการเดินทางไปของนายกฯ เป็นการไปสร้างความมั่นใจให้ต่างชาติในด้านต่างๆ ทั้งเรื่องความเชื่อมั่นระยะสั้น ระยะยาว ถ้าคนระดับนายกฯ  ไปพูดก็เหมือนไปประทับตราให้กับประเทศ ดังนั้นอย่าไปบอกว่าไม่มีอะไร

   “ผมเคยอยู่ในภาคธุรกิจ การไปเป็นเซล 10 ครั้ง ขายได้ 3 ครั้ง ถือว่าคุ้มค่าแล้ว ให้กำลังใจกันดีกว่า” นายอนุทินกล่าว

นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า อยากให้คนวิจารณ์ด้วยใจเป็นธรรมและข้อเท็จจริง  เพราะผลงานที่เด่นของรัฐบาลนี้น่าจะเป็นเรื่องด้านต่างประเทศ โดยเฉพาะการไปเจรจาเปิดตลาด ดึงนักลงทุนที่เป็นบริษัทชั้นนำเกือบทั่วโลก รวมทั้งโปรโมตซอฟต์พาวเวอร์ให้สินค้าไทย ที่เห็นว่าอาจเดินทางบ่อยเนื่องจาก 1.การเดินทางไปหลายประเทศนั้นเป็นกำหนดการประชุมที่มีกำหนดล่วงหน้าแต่ละปีอยู่แล้ว ถ้าไทยไม่ไปจะเป็นเรื่องที่แปลก นอกจากนั้นมีธรรมเนียมว่าทุกครั้งที่นายกฯ คนใหม่เข้าบริหารประเทศก็จะต้องเดินทางไปแนะนำตัวเองและเจรจาเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่าย

นายนพดลกล่าวต่อว่า 2.การเดินทางไปเจรจากับรัฐบาล รวมทั้งพบปะนักธุรกิจประเทศต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สักแต่ทำไปให้พ้นๆ แต่ต้องทำงานหนัก เพราะต้องอ่านแฟ้มเอกสารและเตรียมประเด็นเจรจา ในฐานะที่เคยเป็น รมว.การต่างประเทศ เข้าใจขั้นตอนและความยากลำบากในการเตรียมการของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะตัวนายกฯ ที่ต้องเป็นผู้ดำเนินการเจรจาเอง และ 3.การดึงดูดการเปิดตลาดและดึงนักลงทุนมาไทยเพื่อสร้างงาน สร้างโอกาส เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันนั้นอาจต้องใช้เวลาอยู่บ้าง งานด้านต่างประเทศไม่ใช่การปลูกหญ้าที่เจ็ดวันเขียว แต่เป็นเหมือนการปลูกไม้ยืนต้น ที่เป็นการวางรากฐานและใช้เวลาตามสมควร แต่ถ้าวางรากฐานและทิศทางให้ถูกต้อง ก็เชื่อมั่นว่าการเจรจาและกระชับความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ จะผลิดอกออกผลในไม่ช้า บางเรื่องไม่ต้องรอถึงสามปีหรือครบเทอมรัฐบาล เช่น ยกเลิกวีซ่า เราน่าจะทยอยได้เห็นผลสำเร็จในการทำงานของนายกฯ

“การวิจารณ์ผู้นำนั้นทำได้ แต่ควรอยู่บนข้อเท็จจริง ที่มีการด้อยค่าว่าการไปต่างประเทศเหมือนเป็นแมลงวันที่บินไปบินมาไม่มีผลงานอะไรนั้น ไม่เป็นธรรม  ท่านเคยเป็นนักธุรกิจ ก็เคยท่องเที่ยวไปเกือบทั่วโลกอยู่แล้ว ขอติดตามผลสำเร็จที่จะตามมา ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน”นายนพดลกล่าว

6 เดือนไป 16 ประเทศน้อยไป

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ อดีต สส.กทม.พรรค พท. กล่าวว่า หลังปฏิวัติปี 2557 ผู้นำประเทศไทยไม่ได้ไปไหนเลย หรือไปก็น้อยมาก เพราะเขาไม่ต้อนรับ เขาไม่เชิญ ดังนั้นการเป็นรัฐบาลใหม่มา 6 เดือนก็เหมือนเราเปิดร้านขายของ ถ้าเรานั่งอยู่ที่ร้านไม่เชิญใครมากินเลยมันผิดวิสัย และ 6 เดือนนายกฯ ไปมา 16 ประเทศมันน้อยไป เพราะท่านไม่ได้ไปแล้วอยู่ทั้งเดือน จึงถือว่าเป็นเรื่องปกติของรัฐบาลประชาธิปไตย

 “ดูภาพซิครับ ทั้งผ้าพันคอ ทั้งโอท็อป ทั้งซอฟต์พาวเวอร์ เยอะแยะมากมาย  รัฐบาลก่อนหน้านี้ทำแบบนี้หรือไม่ อย่าไปอิจฉา ให้กำลังใจท่านนายกฯ ไปเถอะ และถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี อีกหน่อยท่านไปฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรเลีย ยูคัมฟรอมไทย คุณมาจากประเทศไทยใช่หรือไม่ และนายกฯ ก็ยังมา มันเจ๋งกว่าหรือเปล่า ดังนั้นต้องให้กำลังใจผู้นำเรา บ้านเมืองถดถอยมาเป็นสิบปี ถือเป็นสิ่งดีที่ท่านเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งไม่ใช่เดินทางไปเฉยๆ” นายจิรายุกล่าว

นายสมศักดิ์ยังกล่าวถึงกรณีนายเสรี สุวรรณภานนท์ สว. ระบุให้นายเศรษฐาอยู่ถึงวันที่ 25 มี.ค. เพื่อให้ทันการซักฟอกว่า ถ้าพูดตรงนี้ส่วนตัวถือว่านายกฯ ผ่านและชนะแล้ว แค่วันที่ 25 มี.ค.เป็นเรื่องของวาทกรรมที่พูดเพื่อให้น่าสนใจ ก็ว่ากันไป อย่าไปถือสา เพราะการอภิปรายแบบไม่ลงมติของ สว. หรือพูดอะไรก็ต้องมีการนำเสนอให้น่าสนใจ เป็นไปไม่ได้อย่างที่กล่าวกันมา เพราะวันที่ 25 มี.ค.ก็ถึงอยู่แล้ว อีกทั้งนายเสรีไม่ได้เป็นหมอดู

  นายอนุทินกล่าวเหมือนกันว่า  ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้วว่าวันที่ 25 มี.ค. รัฐบาลต้องไปฟัง สว. ดังนั้นวันที่ 22-24 มี.ค. รัฐบาลจึงต้องเร่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ให้จบ เพื่อที่วันที่ 25 มี.ค.จะได้ไปฟังการอภิปรายของ สว.

ส่วนนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กล่าวถึงผลงาน 6 เดือนของกระทรวงกลาโหมว่า เริ่มเห็นผลแล้ว เช่น เอาที่ดินไปให้ประชาชนใช้ประโยชน์ โดยมีการโครงการนำร่องไปแล้วหลายพื้นที่ ยังมีเรื่องของการเกณฑ์ทหาร มีการออกมาตรการจูงใจชัดเจน เหลือรอดูเดือน เม.ย.ว่าผลจะเป็นอย่างไร ส่วนนโยบายการช่วยเหลือประชาชน ทุกวันนี้จะเห็นว่าทหารไปช่วยเหลือประชาชนใกล้ชิดมากขึ้น อย่างการไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติต่างๆ สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นผลงานลำดับแรกๆ ของกระทรวงกลาโหม ส่วนงานต่อไปก็จะเดินเร็วขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าการปรับ ครม.จะไม่ถูกปรับออก นายสุทิน กล่าวว่า ไม่ได้คิด ไม่รู้ ไม่ได้วิเคราะห์เลย ก็ทำงานไป และมันเป็นอำนาจของนายกฯ ในฐานะหัวหน้าทีมฟุตบอล ที่อาจปรับผู้เล่นหรือปรับแผนการเล่น เป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่ได้กังวลอะไรมากมาย ส่วนผลงานเข้าตานายกฯ หรือไม่นั้น ไม่ทราบเหมือนกัน ต้องถามนายกฯ

วันเดียวกัน นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเตรียมยื่นอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 ว่าร่างญัตติอยู่ที่นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ แล้ว โดยได้นัดหมายกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 13 มี.ค. เวลา 10.00 น. เพื่อยื่นญัตติ

เมื่อถามว่า ประเด็นที่จะอภิปรายตกผลึกแล้วใช่หรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ในส่วนของพรรค ก.ก. ตอนนี้เราได้จัดหมวดหมู่และเห็นภาพมากขึ้น แต่ผู้ที่เสนอหัวข้อมีจำนวนมากเหมือนเดิม เราคงต้องคัดอีกครั้งว่าจุดที่เป็นไฮไลต์เราจะพูดเรื่องอะไรบ้างตามเวลาที่เรามีอยู่อย่างจำกัด สำหรับพรรคอื่นเราได้พูดคุยไปแล้ว และเป็นหน้าที่ที่เขาจะรวบรวมประเด็นกันอีกครั้ง

จองกฐิน ‘ดิจิทัล-ซอฟต์พาวเวอร์’

“หากเราอยากเห็นภาพว่าใน 4 ปี ประเทศจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ผมคิดว่าประมาณ 7-9 เดือน ก็ต้องเห็นรูปร่างบ้างแล้ว หากเรื่องไหนที่พูดแล้วยังไม่ได้ทำอะไรเลย ผมก็คิดว่าเป็นการทวงถาม หรือบางนโยบายที่พูดไว้อีกแบบ แต่ทิศทางอาจไปอีกแบบ เราก็ต้องทวงถามว่าเกิดอะไรขึ้น ตกลงแล้วจะเป็นไปตามที่เคยแถลงไว้หรือไม่ เช่น เรื่องเงินดิจิทัลวอลเล็ต เรื่องซอฟต์พาวเวอร์ ที่หลายอย่างไม่จำเป็นต้องใช้งบ หรือแม้กระทั่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่พรรคเพื่อไทยพูดบ่อยมาก และคิดว่าน่าจะเป็นนโยบายให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 ด้วยซ้ำ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นความชัดเจน ไม่ตรงกับที่เคยพูดไว้”

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าการตรวจสอบของฝ่ายค้านจะมีประสิทธิภาพ หลังที่ผ่านมาถูกมองว่าการตั้งกระทู้ถามสดเป็นการเกี้ยเซียะกับรัฐบาล นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า ไม่ทราบว่ามองกันมุมไหน การตั้งกระทู้ถามในส่วนของพรรคเรามีการคัดเลือกเต็มที่ ส่วนประเด็นทางการเมืองหากไม่ได้แหลมคมจริงๆ เราก็คิดว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้เวทีการถามกระทู้สด เราสามารถใช้เวทีอื่นในการตรวจสอบได้

“ผมคิดว่าการอภิปราย 152 พรรคก้าวไกลอภิปรายอยู่ทุกสัปดาห์ ไม่ว่าจะนอกสภาหรือในสภา เราก็พูดเรื่องนี้อยู่ทุกสัปดาห์ หลายประเด็นสื่อก็เอาจับไปเป็นเรื่องใหญ่ด้วยซ้ำ” นายปกรณ์วุฒิกล่าว

เมื่อถามว่า พรรคก้าวไกลจะพูดเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ปฏิบัติต่อนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ด้วยหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า มีอยู่ในหัวข้อที่วางเอาไว้ ส่วนจะเป็นเจ้าภาพหลักเองหรือไม่นั้น คิดว่าในแต่ละเรื่องอาจไม่ได้มีใครเป็นเจ้าภาพโดยตรง เพียงแต่เราต้องคุยกันเพื่อไม่ให้ซ้ำกัน 

ถามว่า ฝ่ายค้านหวังผลให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างไร นายปกรณ์วุฒิกล่าวว่า คิดว่าเป็นการสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลทำอะไร บางอย่างที่เคยสัญญาไว้กับประชาชน หรืออะไรที่ยังไม่ได้ทำก็จะได้มีการเคลื่อนไหว และทำตามที่สัญญาไว้บ้าง หรืออะไรที่ผิดทางมีกลิ่นแปลกๆ ก็จะได้หยุดการกระทำ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐาไม่รอด! 'อุ๊งอิ๊ง' นายกฯ สำรอง 'อนุทิน' คือตัวจริง

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อุ๊งอิ๊ง-ชัยเกษม คือ นายกฯ สำรอง แต่ อนุทิน คือ นายกฯตัวจริง

นับหนึ่ง‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ยังขลุกขลัก ‘ย้ายทะเบียนบ้าน’ส่อทำเงินกระจุก

เริ่มแล้ว! อย่างเป็นทางการสำหรับ โครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โครงการ เรือธง ของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เปิดให้ประชาชนได้ลงทะเบียนวันแรก 1 สิงหาคม 2567 ผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ”