อย่ามองทับซ้อนอำนาจ‘อิ๊งค์’

นายกฯ หารือบริษัทชั้นนำภาคอุตสาหกรรมแฟชั่นฝรั่งเศส เตรียมดึงลงทุนในไทย ยกผ้าไหมไทยและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ฟุ้งต่อยอด "ผ้าขาวม้า"  ขายต่างประเทศผืนละ 1 พัน ดึงการแข่งรถยนต์ไฟฟ้ามาจัดในไทย ขออย่ามองทับซ้อนอำนาจ “อิ๊งค์” เป็นการช่วยกันทำงาน ย้ำเดินทางต่างประเทศช่วยแก้วิกฤต ดึงนักลงทุนเข้าไทย

เมื่อวันที่ 11 มีนาคม เวลา 09.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นกรุงปารีส) ณ ร้าน Dior สาขา Avenue Montaigne  สถานที่ก่อตั้งห้องเสื้อ Christian Dior เมื่อปี 2849 (ค.ศ.  1946) นาย Bernard Arnault, Chairman and CEO of LVMH Group ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของโลกในภาคอุตสาหกรรมแฟชั่นและสินค้าลักชัวรี ได้พบหารือกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

โดยนายกฯ เน้นย้ำว่า ประเทศไทยเปิดแล้วสำหรับการลงทุน และเดินหน้าเพื่อเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปสู่การเติบโตที่สูงขึ้นและความยั่งยืนในภาคส่วนสำคัญต่างๆ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก สร้างซอฟต์พาวเวอร์ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งไทยมีความภาคภูมิใจในมรดกทางงานฝีมืออันยาวนาน เช่น ผ้าไหมไทยและเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ทั้งความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีเทคนิคที่ซับซ้อน

นายกฯ กล่าวโดยเชื่อมั่นว่า งานฝีมืออันเป็นเอกลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นโบราณนี้จะเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย จึงอยากจะเชิญชวนกลุ่ม LVMH  ร่วมกับประเทศไทย ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเสริมสร้างเทคนิค และพัฒนาผ้าไทยให้ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น โดยไทยพร้อมต้อนรับนักออกแบบและทีมงานสร้างสรรค์จาก LVMH เพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือที่เป็นไปได้กับหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องต่อไป

ต่อจากนั้นเวลา 10.00 น. (เวลาท้องถิ่นกรุงปารีส)  ณ ห้อง Chaillot ชั้น 1 โรงแรม PrincedeGalles นาย Jean-Marc Duplaix, Deputy CEO บริษัท Kering ซึ่งเป็นบริษัทประกอบธุรกิจสินค้าประเภทแฟชั่นและสินค้าลักชัวรี รายใหญ่อันดับ 4 ของโลก ได้เข้าพบนายเศรษฐาโดยหารือกันในประเด็นขยายความร่วมมือ

โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า บริษัทได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย เช่น Gucci และ Bottega ถือได้ว่ามียอดขายอันดับต้นๆ ในไทย โดยนายกฯ กล่าวว่า ปีหน้าจะเป็นปียิ่งใหญ่ของการท่องเที่ยวไทย หากบริษัทพิจารณาเปิดสาขาเพิ่มจะเป็นโอกาสอย่างมากสำหรับลูกค้าคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ด้านบริษัทรับทราบด้วยความยินดี และกล่าวชื่นชมว่า ลูกค้าชาวไทยเป็นลูกค้าคุณภาพ และขอบคุณที่ไทยให้ความสนใจ ทั้งนี้ บริษัทมีความสนใจร่วมมือกับไทยในเรื่องการเพิ่มปริมาณสินค้าที่ส่งขายในประเทศไทย และธุรกิจ Luxury Cruise

นอกจากนี้ นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมระดับโลก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศสู่การเติบโตที่สูงขึ้น และความยั่งยืนในภาคส่วนสำคัญต่างๆ พร้อมกับเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เร่งสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งนายกฯ ได้กล่าวเชิญชวนบริษัท Kering ร่วมมือกับไทยเปิด Regional Office ที่ประเทศไทย โดยรัฐบาลไทยจะแก้ไขประเด็นอุปสรรคทางการค้า เช่น มาตรการภาษี สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ  (Ease of doing business)

วันเดียวกัน นายเศรษฐาโพสต์เฟซบุ๊ก “เศรษฐา ทวีสิน-Srettha Thavisin” ระบุว่า "มาฝรั่งเศสเมืองแห่งแฟชั่น ผมตั้งใจเอาผลิตภัณฑ์กระจูดของดีขึ้นชื่อจังหวัดนราธิวาส และผ้าขาวม้า จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นสินค้าท้องถิ่นที่มีความโดดเด่นและเอกลักษณ์มาด้วย

ผ้าขาวม้าคือเครื่องหมายของการผูกมิตร มีความเป็นสากล และ muti-color ถ้าเราต่อยอดและขยายตลาดในต่างประเทศได้ ในอนาคตข้างหน้าผ้าขาวม้า ผืนละ 50 บาทอาจจะยกระดับราคาให้เป็น 1,000 บาทได้ และนั่นคือการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยครับ"

จากนั้นนายเศรษฐายังได้โพสต์อีกข้อความระบุว่า "ผมเดินทางมาพบกับ Mr. Jean Todt นักแข่งรถระดับโลก  อดีตผู้บริหาร Ferrari และประธาน FIA ที่บ้านพักชานกรุงปารีส เพื่อพูดคุยถึงวงการแข่งรถยนต์​ รวมถึงการต่อยอดเรื่องนำเอา Formula E ซึ่งเป็นการแข่งรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาจัดในประเทศไทยครับ

ทาง Mr.Todt สนใจถึงความร่วมมือดังกล่าว และพร้อมสนับสนุนการจัดการแข่งขัน นอกจากนี้เรายังได้พูดคุยกันถึงโครงการ Road Safety ที่ได้รับการสนับสนุนจาก UN เพื่อลดอุบัติเหตุจากการใช้รถ ซึ่งทำได้โดยการสวมหมวกนิรภัย และถือเป็นโครงการที่ดี โดยมีต้นแบบการผลิตหมวกนิรภัยให้มีราคาที่ต่ำกว่า 700 บาท เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงได้ด้วย ซึ่งผมชวน Mr.Todt เข้ามาร่วมทำกิจกรรมนี้ในเมืองไทยร่วมกับรัฐบาลไทย เพื่อสร้างความปลอดภัยในที่สาธารณะ (Public Safety) ด้วยครับ"

 ทั้งนี้ นายเศรษฐากล่าวถึงกรณีมีเสียงจากสื่อวิพากษ์วิจารณ์ว่า มาต่างประเทศจะแก้วิกฤตประเทศได้อย่างไรว่า  การที่ตนเดินทางมาต่างประเทศก็ถือเป็นการแก้วิกฤตอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเซ็นสัญญา  FTA ซึ่งในอดีตไม่ได้ทำ การดึงนักลงทุนไปลงทุนในประเทศ ในอดีตก็ไม่มีการทำ ซึ่งถือเป็นการแก้วิกฤตในระยะกลางและระยะยาวอยู่แล้ว ถ้าเกิดมีนักลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอย ทำให้มีการจ้างงานที่มากขึ้น  เชื่อว่าจะเป็นจุดหนึ่งในการแก้ไขปัญหาวิกฤต

เมื่อถามว่า กังวลต่อกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ออกมาเรื่อยๆ หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ส่วนตัวกังวลทุกเรื่อง และรับฟังทุกเรื่องกับทุกสื่อที่ให้คอมเมนต์มา หากทำได้ก็จะปรับปรุงตัวเองและปรับปรุงวิธีการทำงานของตัวเอง

เมื่อถามว่า การร่วมคณะของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ถูกมองว่าเป็นภาพทับซ้อนของอำนาจ นายเศรษฐากล่าวว่า ขอให้ดูว่าเป็นการช่วยกันทำงานมากกว่า เพราะนางสาวแพทองธารเป็นรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ฯ ซึ่งตนมาเจอบริษัทใหญ่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์ เกี่ยวกับเรื่องแฟชั่น  เกี่ยวกับเรื่องดีไซน์และอีเวนต์ ว่าจะสามารถเอาสินค้าอะไรเข้าไปได้บ้าง

 “ขออย่าคิดว่าเป็นการทับซ้อนอำนาจหรือไม่เลย มองว่าเป็นการช่วยกันทำงานมากกว่า เพราะทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าประเทศไทยอยู่ในช่วงวิกฤต ทำคนเดียวอาจจะไม่ไหว ต้องมีคนช่วยทำด้วย ส่วนตัวไม่ได้ติดอะไรตรงนี้” นายเศรษฐากล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ปลื้มทะลุ 18 ล้านคน แห่ลงทะเบียนรับเงินหมื่น แย้มรอฟังข่าวดีจาก พณ.

นายกฯ พอใจประชาชนตื่นตัวลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ตวันแรก เตรียมหารือป้องกันแอปปลอมระบาด- ข้อมูลรั่วไหล-แลกเงินสด แย้มรอฟังข่าวดีจากกระทรวงพาณิชย์

'เศรษฐา' ยังไล่หลัง 'พิธา' ลงทะเบียนรับเงินดิจิทัล ช่วยรัฐบาลดูดีขึ้น

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนกรกฎาคม 2567” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,318 คน

เศรษฐาไม่รอด! 'อุ๊งอิ๊ง' นายกฯ สำรอง 'อนุทิน' คือตัวจริง

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า อุ๊งอิ๊ง-ชัยเกษม คือ นายกฯ สำรอง แต่ อนุทิน คือ นายกฯตัวจริง