มั่นใจราคาค่าไฟ ไม่เกิน4.18บาท ดัชนีเชื่อมั่นขยับ

“พีระพันธุ์” มั่นใจ ราคาค่าไฟช่วงเดือน พ.ค.-ส.ค. ไม่สูงกว่าปัจจุบัน   หรือ 4.18 บาทต่อหน่วย หลังลงพื้นที่ตรวจการผลิตก๊าซกลางอ่าวไทยพร้อมหารือ กฟผ.ให้ช่วยกันดูแลประชาชนเต็มที่ "หอการค้าไทย" เผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน ก.พ. อยู่ที่ระดับ 63.8 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่น ศก.โดยรวมอยู่ที่ 57.7    ทุกตัวปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 7 มีนาคม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังลงพื้นที่ตรวจการผลิตก๊าซกลางอ่าวไทยเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีก๊าซมากพอ เพื่อการยันราคาค่าไฟฟ้าในรอบใหม่นี้ ตนได้หารือกับนายเสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และปลัดกระทรวงพลังงาน นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ และล่าสุดได้หารือกับผู้บริหารการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  (กฟผ.) เพื่อขอให้ช่วยกันดูแลประชาชนตามอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายให้เต็มที่เพื่อไม่ให้มีภาระค่าไฟฟ้ามากไปกว่าปัจจุบัน ซึ่งทุกท่านทุกฝ่ายพร้อมที่จะดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ โดยเฉพาะทาง กฟผ. พร้อมที่จะแบกรับภาระหลายอย่างเพื่อประชาชน

 “ผมจึงค่อนข้างมั่นใจว่าราคาค่าไฟฟ้าสำหรับงวดต่อไป (พ.ค.-ส.ค) จะไม่สูงไปกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขอให้มั่นใจว่าผมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน และขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมา ณ ที่นี้อีกครั้ง” นายพีระพันธุ์ กล่าว

ทั้งนี้ ค่าไฟงวดปัจจุบัน (ม.ค.-เม.ย.67) ประชาชนทั่วไปจ่ายอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย

ในวันที่ 8 มี.ค. สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) โดยนายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงาน กกพ. ในฐานะโฆษก กกพ. จะเปิดเผยผลการคำนวณค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) และข้อเสนอทางเลือกเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นประกอบการพิจารณาเพื่อประกาศเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในงวดหน้า (พฤษภาคม-สิงหาคม)

วันเดียวกัน นายธนวรรธน์ พลวิชัย  ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือน ก.พ. ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาล และรัฐบาลจัดทำนโยบายลดค่าครองชีพโดยลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมัน  ตลอดจนมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ นอกจากนี้ ผู้บริโภคเห็นว่าการเมืองไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับตัวดีขึ้นทุกรายการ

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่อาจยืดเยื้อบานปลาย อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทย และอาจมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาคในอนาคต

นายธนวรรธน์กล่าวว่า การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ตลอดจนสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนกับอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซาอาจยืดเยื้อ ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้

"ปัจจัยลบคือทุกคนเริ่มรับรู้จากการที่สภาพัฒน์ออกมายืนยันว่าเศรษฐกิจไทยจะโตแค่ 2.7% รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ที่ออกมาบอกว่าเศรษฐกิจไทยจะโต 2.7-2.8% ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นภาคประชาชนและธุรกิจหดหายลง เป็นตัวบั่นทอนความเชื่อมั่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยพูดว่าเป็นปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน แสดงว่าเป็นการเยียวยาที่ไม่ง่ายในระยะสั้น การฟื้นตัวในอนาคตจึงไม่สดใส ไม่ได้ทรุดตัวลง แต่นิ่งอยู่กับที่เพื่อรอสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ" นายธนวรรธน์กล่าว

นายธนวรรธน์กล่าวอีกว่า การปรับตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวแบบอ่อนๆ เพราะความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการจ้างงานฟื้นตัวน้อย อย่างไรก็ดี ความหวังว่าเศรษฐกิจไทยมีโอกาสที่จะพลิกฟื้นในไตรมาส 2/67 คือดัชนีการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีสุดในรอบ 164 เดือน หรือตั้งแต่ที่ทำการสำรวจมา (ก.ค.48) แสดงให้เห็นว่าคนไทยพร้อมเที่ยว และบรรยากาศการท่องเที่ยวคึกคัก โดดเด่น

"ดังนั้น การส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ทั้งเทศกาลมหาสงกรานต์ 21 วัน หรือเทศกาลต่างๆ ในวันหยุดยาว จะหนุนภาวะเศรษฐกิจในภาคบริการ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกของเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจเกี่ยวกับการซื้อบ้านและรถยนต์ยังดีต่อเนื่อง เป็นสัญญาณของความพร้อมในการจับจ่ายใช้สอยที่บวกขึ้นตามลำดับ"

นายธนวรรธน์กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยจะถูกจุดติดในเดือนเม.ย.67 เป็นต้นไป หลังจากงานมหาสงกรานต์ 21 วัน การท่องเที่ยวน่าจะคึกคักขึ้น ประกอบกับเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งสำนักงบประมาณคาดว่าจะลงในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่ต้นเดือนเม.ย. น่าจะทำให้เดือนเม.ย.-พ.ค.67 หรือไตรมาส 2/67 เศรษฐกิจไทยน่าจะเริ่มพลิกฟื้นขึ้น เชื่อว่าในไตรมาส 1/67 เศรษฐกิจน่าจะโต 2% และเม.ย.67  ที่จะมีสงกรานต์ และงบประมาณ จะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/67 โตได้ 2.5-3% ดังนั้น หอการค้าไทยจะมีการปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจในวันที่ 19 มี.ค.นี้ โดยตอนนี้ประเมินไว้ที่ 3.2% จะรอดูประเมินสถานการณ์อีกครั้ง          

"บรรยากาศของนักท่องเที่ยวที่เข้าไทยเฉลี่ยเดือนละประมาณ 3 ล้านคน ถ้าเทียบกับปีก่อนเข้ามาเดือนละ 1-1.5 ล้านคน สะท้อนว่านักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1-2 ล้านคนในช่วงสงกรานต์  ถ้าดูเฉพาะนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ถ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 1-1.5 ล้านคน นักท่องเที่ยวใช้เงินเฉลี่ยประมาณ 42,000 ล้านบาท เงินก็น่าจะสะพัดในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นประมาณ  40,000-50,000 ล้านบาท รวมกับนักท่องเที่ยวไทยที่ใช้เงินในช่วงสงกรานต์มากขึ้น 5,000-10,000 ล้านบาท ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอาจมีเม็ดเงินหมุนเวียนมากขึ้น 50,000 ล้านบาท" นายธนวรรธน์ กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง