"สภาพัฒน์" เผยไตรมาส 3/66 หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 90.9% แตะ 16.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% ส่วนไตรมาส 4/66 การจ้างงานปรับตัวดีขึ้น ว่างงานลดลง จับตาสินเชื่อบ้าน-กู้สินเชื่อยานยนต์
เมื่อวันจันทร์ นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 4/2566 และภาพรวมปี 2566 ว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนของไตรมาส 3/2566 สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 90.9% มีมูลค่าหนี้อยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 16.09 ล้านบาท หรือ 3.3%
สำหรับหนี้ครัวเรือนยังมีอัตราเพิ่มขึ้น แต่เป็นในทิศทางที่ชะลอตัวลง สะท้อนว่าครัวเรือนชะลอการก่อหนี้ในทุกสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อยานยนต์ คาดว่าเป็นผลจากมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ออกหลักการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ได้เร่งให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว เพื่อที่จะสร้างวินัยและความรอบคอบในการปล่อยสินเชื่อ ตามความต้องการลดปัญหาหนี้ครัวเรือนลง
“ในส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคล โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับยังมีการขยายตัวที่ 15.6% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 18% แม้จะชะลอตัวลง แต่มีการขยายตัวค่อนข้างสูง ดังนั้นต้องมีการเข้าไปดูแลทั้งระบบเพื่อลดการก่อนหนี้ลง“ นายดนุชากล่าว
อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินเชื่อพบว่าด้อยลงทุกประเภทสินเชื่อ จากข้อมูลธนาคารพาณิชย์ ณ ไตรมาส 3/2566 พบยอดคงค้างหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) มีมูลค่า 1.52 แสนล้านบาท คิดเป็น 2.79% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนที่ 2.71% ขยายตัว 7.9% จาก 2.7% ในไตรมาสก่อน และคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมที่ 2.79% เพิ่มขึ้นจาก 2.71% ในไตรมาสก่อน เมื่อแยกประเภทสินเชื่อ โดยสินเชื่อบัตรเครดิตอยู่ที่ 3.34% สินเชื่อที่อยู่อาศัย 3.24% สินเชื่อส่วนบุคคลอื่นๆ 2.38% และสินเชื่อยานยนต์ 2.1%
นายดนุชากล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในสินเชื่อยานยนต์ยังมีต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 40.9% เป็น 27.3% ในไตรมาส 3/2566 ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิตยังมีหนี้เสียเพิ่มขึ้น 13.6% จากไตรมาสก่อนที่ติดลบ 7.2% ด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 2.4% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ติดลบ 0.4% และสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นที่ 10.2% จากไตรมาสก่อนที่ 3% สะท้อนว่าหนี้เสียยังเพิ่มขึ้นค่อนข้างสูง
นอกจากนี้ หากพิจารณาหนี้ที่มีการค้างชำระ 1-3 เดือน (SMLs) พบว่าภาพรวมสัดส่วน SMLs ต่อสินเชื่อรวมทรงตัวอยู่ที่ 6.7% แต่หนี้ SMLs ของสินเชื่อยานยนต์ยังคงอยู่ในระดับสูงและเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งสถานการณ์คุณภาพหนี้ยานยนต์สอดคล้องกับข้อมูลสถิติการยึดรถยนต์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 25,000-30,000 คันต่อเดือนจากปี 2565 ที่อยู่ที่ประมาณ 20,000 คันต่อเดือน
ดังนั้น ส่วนของสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษ (SML) ที่อาจจะกลายเป็นหนี้เสีย โดยสินเชื่อยานยนต์อยู่ที่ 14.55% และสินเชื่อที่อยู่อาศัย 4.45% ขณะที่สินเชื่อบัตรเครดิต 4.50% และสินเชื่อส่วนบุคคล 4.48 ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ต้องติดตาม และนำเอากลุ่มเสี่ยงเร่งทำการปรับโครงสร้างหนี้ก่อนจะเป็นหนี้เสีย
นายดนุชากล่าวอีกว่า ประเด็นนี้ครัวเรือนที่ควรให้ความสำคัญคือ 1.การติดตามผลของการบังคับใช้หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 มีมาตรการสำคัญประกอบไปด้วย การช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ลูกหนี้เรื้อรังสามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น และการคุ้มครองสิทธิลูกหนี้
2.การเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ สะท้อนให้เห็นถึงการขาดสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับประเภทที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน โดยหนี้เสียมีอัตราการขยายตัวสูงถึง 40.2% เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่อนุมัติเร็วและง่าย แต่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าสินเชื่อประเภทอื่น และเป็นทางเลือกในการกู้ยืมเพื่อเติมสภาพคล่อง
และ 3.การติดตามการแก้ไขปัญหาหนี้นอก ต้องติดตามความสามารถในการไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบ หรือเปลี่ยนหนี้นอกระบบให้เป็นหนี้ในระบบ ซึ่งอาจต้องผ่อนปรนเงื่อนไขการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดอุปสรรคการให้กู้ยืมแก่กลุ่มลูกหนี้นอกระบบที่เป็นกลุ่มที่มีเครดิตไม่ดีนัก รวมทั้งต้องมีการติดตามความสามารถในการจ่ายหนี้ของลูกหนี้นอกระบบอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้ไม่แน่นอน ซึ่งรายงานการสำรวจการเข้าถึงบริการทางการเงินของคนไทยในปี 2565 ของ ธปท. ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบกลุ่มดังกล่าวยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ สาเหตุมาจากฐานะทางการเงินหรือรายได้ไม่เพียงพอ ไม่มีความรู้ความเข้าใจ และผลิตภัณฑ์ไม่ตอบโจทย์ความต้องการ ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจก่อหนี้นอกระบบได้ในอนาคต.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งกก.สอบผกก.บางซื่อ ทนายปาเกียวเล็งทิ้งตั้ม
“ดีเอสไอ” เตรียมสรุปสำนวนคดี 18 บอสดิไอคอนเสนออัยการคดีพิเศษภายใน 20 ธ.ค.นี้
นิกรหักเพื่อไทย เตือนส่อผิดกม. ให้กมธ.ตีความ
“นิกร” หักข้อเสนอ “ชูศักดิ์” เลยช่วงเวลาแปลงร่างประชามติเป็นกฎหมายการเงินแล้ว
‘สนธิ’ลั่นการเมืองใกล้สุกงอม!
“อุ๊งอิ๊ง” เมินปม กกต.สอบครอบงำต่อ เด็ก พท.ยันเป็นการดำเนินการตามปกติ
จ่อส่งคดีหมอบุญให้DSI
ตร.สอบปากคำอดีตภรรยา-ลูกสาว “หมอบุญ” เพิ่มเติม
ทักษิณรอดคลุมปี๊บ! ส้มเหลวปักธงอุดรธานี ‘คนคอน’ตบหน้า‘ปชป.’
เลือกตั้ง อบจ. 3 จังหวัด “เพชรบุรี-อุดรธานี-นครศรีธรรมราช” ราบรื่น
‘ยิ่งลักษณ์’ กลับคุก ‘บิ๊กเสื้อแดง’ รู้มา! ว่าไปตามราชทัณฑ์ไม่ใช้สิทธิพิเศษ
“เลขาฯ แสวง” ยันเดินหน้าคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครองต่อ เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับกับศาล รธน. "จตุพร" ลั่นยังไม่จบ! ต้องดูสถานการณ์เป็นตอนๆ ไป