“วิสุทธิ์” ขึงขังพร้อมทำหน้าที่ประธานวิปรัฐบาล ลั่นต่อไปจะไม่เกิดปัญหาสภาล่ม “สุดาวรรณ” งานเข้า เรืองไกรร่อนหนังสือถึง กกต.สอบซุกหุ้นหรือไม่ หลังแจ้งบัญชีขายหุ้นกว่า 459 ล้านบาทแต่ไม่รับเงิน พร้อมโยงไปถึง “บิดาเสี่ยแป้งมัน” ด้วย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 ก.พ.2567 นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงคำสั่งแต่งตั้งของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เป็นประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) แทนนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ว่าพร้อมทำหน้าที่อย่างดีที่สุด จะพยายามผลักดันร่างกฎหมายที่ค้างอยู่ในรัฐบาลที่แล้ว 20 ฉบับมาเดินหน้าต่อ ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบร่างกฎหมายเหล่านี้เสร็จแล้ว เหลือแค่ส่งกลับให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ เพื่อผลักดันเข้าสู่สภาต่อไป
“ได้หารือกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อขอความร่วมมือให้การประชุมวิสามัญคณะต่างๆ ไปประชุมในวันจันทร์ อังคาร หรือวันศุกร์ ไม่ให้ประชุมวันพุธหรือวันพฤหัสบดีที่เป็นวันประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อไม่ให้ สส.เสียสมาธิในการประชุมสภา วิ่งเข้าๆ ออกๆ ห้องประชุม อยากให้ สส.อยู่ในห้องประชุม ให้ความสำคัญกับการประชุมสภา ที่เป็นหน้าที่หลักให้ประชาชน 2 วันคือ วันพุธและวันพฤหัสบดี ให้อยู่ร่วมประชุมเต็มที่ คอยผลักดันสนับสนุนกฎหมายฝ่ายรัฐบาล มั่นใจว่าหลังจากนี้จะไม่เกิดปัญหาสภาล่ม หรือความขัดแย้งในพรรครัฐบาล จะพูดคุยหารือกันอย่างใกล้ชิด” นายวิสุทธิ์กล่าว
ด้านนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า แม้ว่าเราเป็นพรรคฝ่ายค้าน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแบบตั้งรับ เราจะทำงานฝ่ายค้านแบบเชิงรุก นั่นก็หมายความว่าในเรื่องบางเรื่องที่รัฐบาลไม่ได้ทำก็จะจี้ และจะนำเรื่องเสนอเข้าสู่สภาเพื่อให้รัฐบาลได้ดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลได้บอกกล่าวประชาชนไว้
“พรรคก้าวไกลไม่ทิ้งพี่น้องประชาชนแน่นอน แม้ที่ผ่านมาประชาชนจะรู้สึกผิดหวังกับการทำงานของรัฐบาล แต่ต้องให้โอกาสในการทำงาน โครงการใดที่รัฐบาลเห็นว่าดีและมีประโยชน์ รัฐบาลสามารถมาหยิบโครงการเหล่านั้นจากก้าวไกลไปได้เลย แต่หากว่าโครงการและนโยบายใดที่รัฐบาลทำไม่ถูกไม่ควร ก้าวไกลก็พร้อมชี้แนะและติติงโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนมากที่สุด” นายพริษฐ์ระบุ
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า รัฐบาลและพรรค พท.ไม่ควรออกอาการมากเกินไป เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ในส่วนของพรรค ปชป.ที่ทำหน้าที่ฝ่ายค้านทำงานเต็มที่
วันเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวว่า ได้ส่งหนังสือถึงประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (อีเอ็มเอส) เพื่อขอให้ตรวจสอบ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ว่ายังคงเป็นหรือคงไว้ซึ่งการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่อาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 หรือไม่ และจะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่ โดย 1.น.ส.สุดาวรรณได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งรายได้ ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส. เมื่อวันที่ 4 ก.ค.2566 โดยแจ้งรายการซื้อขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงินไว้ ดังนี้ มีรายได้จากการขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงิน 459,364,000 บาท มีเงินให้กู้ยืมเป็นลูกหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น 5 ราย รวม 459,364,000 บาท
2.ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ก.ย.2566 น.ส.สุดาวรรณได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็น รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งไม่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ในฐานะรัฐมนตรีอีกกรณี จึงควรใช้บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมทั้งรายได้ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช.กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส. ซึ่งจากการตรวจสอบรายได้จากการขายหุ้นแต่ยังไม่ได้รับเงิน แต่ตั้งเป็นลูกหนี้ไว้ น.ส.สุดาวรรณในตำแหน่ง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา มีการขายหุ้นดังกล่าวจริงหรือไม่ เพราะเหตุใดการขายหุ้นจึงไม่ได้รับชำระเงินเลย และทำไมจึงแจ้งเป็นเงินให้กู้ยืม (ลูกหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น) ด้วยจำนวนที่เท่ากัน คือ 459,364,000 บาท
3.หาก กกต.ตั้งตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วมีเหตุอันควรสงสัยว่า ณ วันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี การซื้อขายหุ้นดังกล่าวยังไม่ได้ชำระเงินซึ่งมีจำนวนสูงมากนั้น จะเข้าข่ายเป็นการทำนิติกรรมอำพรางการถือหุ้นไว้ให้อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่นไม่ว่าในทางใดๆ ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 187 วรรคสี่ หรือไม่ จะถือได้ว่า น.ส.สุดาวรรณยังคงไว้ซึ่งความเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากถือเกิน 5% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว ก็ต้องตรวจสอบต่อไปว่าเข้าข่ายกระทำการอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 187 วรรคหนึ่ง หรือไม่ อันจะเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่
และ 4.น.ส.สุดาวรรณได้แสดงรายการหนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือไว้ด้วย รวมเป็นเงิน 193,725,000 บาท โดยมี 3 รายการ ซึ่งกู้จากนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล 2 รายการ และกู้จากนางยลดา หวังศุภกิจโกศล 1 รายการ ที่มีคำอธิบายระบุไว้ว่า เป็นเจ้าหนี้สัญญาซื้อขายหุ้น วันที่ทำสัญญาคือ 17 ก.ค.2562 ดังนั้น เพื่อให้การตรวจสอบครบถ้วนรอบด้าน ขอให้ กกต.นำข้อมูลบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล และนางยลดา หวังศุภกิจโกศล ที่ยื่นไว้ต่อ ป.ป.ช.ทุกครั้ง มาประกอบการตรวจสอบเพื่อให้ทราบถึงรายการเคลื่อนไหวด้านเดบิตหรือเครดิตทางบัญชี หรือรายการรับ-จ่ายทางการเงิน (ถ้ามี) เกี่ยวกับการการซื้อขายหุ้นหรือจำหน่ายจ่ายโอนหุ้น หรือเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นดังกล่าวด้วยว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นรัฐมนตรีของนายวีรศักดิ์มาก่อนด้วยหรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตั้งกก.สอบผกก.บางซื่อ ทนายปาเกียวเล็งทิ้งตั้ม
“ดีเอสไอ” เตรียมสรุปสำนวนคดี 18 บอสดิไอคอนเสนออัยการคดีพิเศษภายใน 20 ธ.ค.นี้
นิกรหักเพื่อไทย เตือนส่อผิดกม. ให้กมธ.ตีความ
“นิกร” หักข้อเสนอ “ชูศักดิ์” เลยช่วงเวลาแปลงร่างประชามติเป็นกฎหมายการเงินแล้ว
‘สนธิ’ลั่นการเมืองใกล้สุกงอม!
“อุ๊งอิ๊ง” เมินปม กกต.สอบครอบงำต่อ เด็ก พท.ยันเป็นการดำเนินการตามปกติ
จ่อส่งคดีหมอบุญให้DSI
ตร.สอบปากคำอดีตภรรยา-ลูกสาว “หมอบุญ” เพิ่มเติม
ทักษิณรอดคลุมปี๊บ! ส้มเหลวปักธงอุดรธานี ‘คนคอน’ตบหน้า‘ปชป.’
เลือกตั้ง อบจ. 3 จังหวัด “เพชรบุรี-อุดรธานี-นครศรีธรรมราช” ราบรื่น
‘ยิ่งลักษณ์’ กลับคุก ‘บิ๊กเสื้อแดง’ รู้มา! ว่าไปตามราชทัณฑ์ไม่ใช้สิทธิพิเศษ
“เลขาฯ แสวง” ยันเดินหน้าคดี “ทักษิณ-เพื่อไทย” ล้มล้างการปกครองต่อ เพราะใช้กฎหมายคนละฉบับกับศาล รธน. "จตุพร" ลั่นยังไม่จบ! ต้องดูสถานการณ์เป็นตอนๆ ไป