
คลังลงดาบใหญ่ ฟันผู้ประกอบการ 2,099 รายในโครงการเราชนะ ชี้มีพิรุธหลายข้อ แต่ยังให้โอกาสรีบเอาหลักฐานมาอุทธรณ์ใน 15 วัน ก่อนถูกเรียกเงินคืน “ธนกร” วอนเห็นใจข้าราชการต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ “เด็กไทยสร้างไทย” ซัดโครงการดีแต่ไม่รอบคอบ อัดมีปัญหาก็โยนภาระให้ประชาชน
เมื่อวันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ได้แถลงถึงการตรวจสอบผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขในโครงการเราชนะ จากผู้ประกอบการที่เข้ารวมโครงการกว่า 1.3 ล้านราย ว่าได้จัดตั้งคณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการเราชนะ เพื่อติดตามตรวจสอบการกระทำที่เข้าข่ายฝ่าฝืนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการ ซึ่งเมื่อพบการฝ่าฝืนก็จะระงับสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการ รวมถึงร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติและกรมการค้าภายใน ตรวจสอบข้อเท็จจริงและขยายผลสืบสวนสอบสวนต่อไป
นายพรชัยกล่าวต่อว่า ขั้นตอนการดำเนินงานกับผู้ที่มีพฤติกรรมฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของโครงการเราชนะ ประกอบด้วย 1.การระงับสิทธิ์ชั่วคราวการใช้แอปพลิเคชันถุงเงิน เมื่อพบพฤติกรรมที่ผิดปกติในธุรกรรมการใช้จ่าย เช่น จุดรับเงินของแอปถุงเงินขยับไปมาระยะไกล ธุรกรรมเต็มจำนวนวงเงินสิทธิเป็นจำนวนมาก เป็นต้น ซึ่งจะแจ้งให้ผู้ประกอบการติดต่อชี้แจงโต้แย้งภายใน 14 วัน ซึ่งเมื่อครบกำหนดแล้วจะนำเอกสารชี้แจงโต้แย้งของผู้ประกอบการที่ได้รับเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงาน
2.เมื่อได้พิจารณาเอกสารหลักฐานของผู้ประกอบการแล้วเห็นว่า ผู้ประกอบการกระทำการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ดังกล่าวจริง หรือผู้ประกอบการไม่ชี้แจงโต้แย้งภายในเวลาที่กำหนด จะได้มีหนังสือประทับตราแจ้งผลวินิจฉัยและขอให้ชำระเงินคืนให้โครงการ แต่ผู้ประกอบการสามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือประทับตรา และ 3.กรณีไม่มีการชี้แจงหรือเสนอข้อมูลหลักฐานประกอบการอุทธรณ์ หรือไม่มีการชำระเงินคืนให้แก่โครงการเราชนะ รวมถึงกรณีอุทธรณ์มา แต่คณะทำงานพิจารณาแล้วเห็นว่ายังมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขโครงการ ก็จะได้มีหนังสือแจ้งผู้ประกอบการอีกครั้ง โดยหากผู้ประกอบการยังไม่ชำระเงินคืน ก็ต้องดำเนินการเรียกร้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการต่อไป
“โครงการเราชนะได้ระงับสิทธิ์ถาวรผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการแล้ว 2,099 ราย และได้ออกหนังสือประทับตราแจ้งผู้ประกอบการที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และความยินยอมสำหรับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะเพื่อคืนเงินที่ได้รับ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดให้ผู้ประกอบการขออุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน” นายพรชัยกล่าวและว่า เพื่อเป็นการรักษาสิทธิ์จึงขอให้ผู้ประกอบการชี้แจงเหตุผล พร้อมยื่นเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อ สศค.ภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น ใบเสร็จรับเงินเพื่อแสดงต้นทุนสินค้า, หลักฐานการจัดส่งสินค้า, เอกสารแสดงสินค้าคงคลัง รวมถึงภาพถ่ายสถานประกอบการ เป็นต้น เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะทำงานและกระบวนการขั้นตอนตามกฎหมายต่อไป
ด้านนายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า มีผู้ประกอบการ 2,099 รายที่มีธุรกรรมผิดเงื่อนไข เช่น รับสแกนแล้วแลกเป็นเงินสด, มีการสแกนเงินเต็มจำนวนวงเงินสิทธิ 1,000-2,000 บาท เป็นต้น หรือรับสแกนซื้อขายข้ามจังหวัด ทำให้จุดรับเงินขยับไปมาเกิน 7,000 กิโลเมตรใน 1 วัน หรือบางรายอยู่นอกพื้นที่ในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับลักษณะการประกอบกิจการ แต่ผู้ประกอบการสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่ง พร้อมแสดงหลักฐานให้ทบทวนผลการพิจารณาต่อผู้อำนวยการ สศค.เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง
“วิงวอนขอให้เห็นใจการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ทุกอย่างต้องยึดตามระเบียบและกฎหมายรองรับ ซึ่งผู้ประกอบการที่สมัครใจร่วมโครงการต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการด้วย หากละเมิดกติกาหรือผิดวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ส่วนราชการที่รับผิดชอบก็จำเป็นต้องดำเนินการตามข้อบังคับเพื่อปกป้องและรักษาสิทธิ์ของประชาชน และให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่”
ส่วนนายรณกาจ ชินสำราญ คณะกรรมการอำนวยการและพัฒนาพรรค พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ต้องมองทั้ง 2 มุม นอกจากมองมุมของกฎกติกาที่รัฐวางไว้แล้ว ยังต้องมองถึงเรื่องความรัดกุมเหมาะสมในเงื่อนไข และให้ความยุติธรรมกับร้านค้าและผู้ประกอบการด้วย โดยการนำไปใช้ผิดประเภทหรือตั้งใจทุจริตของร้านค้าเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำ แต่รัฐควรให้ความเป็นธรรมและชี้แจงอย่างเป็นเหตุเป็นผลกับทุกคนด้วย มีตัวอย่างที่ร้านค้าได้จดหมายเรียกเงินคืน แต่ไม่ได้ชี้แจงว่าทำผิดเงื่อนไขลักษณะไหนเพื่อที่ร้านค้าจะได้ยื่นอุทธรณ์ได้ตรงจุด หรือแม้แต่การเรียกเงินคืนที่รวมไปถึงส่วนต้นทุนของร้านค้าด้วย ไม่ได้แค่เรียกคืนเฉพาะส่วนที่รัฐอุดหนุนมา เพราะมีร้านค้าหลายรายที่ได้รับจดหมายเรียกเงินคืนหลักหลายแสนบาทไปถึงหลักล้านบาท หลายคนตกใจและไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดเงื่อนไขในลักษณะใด
“โครงการช่วยเหลืออุดหนุนต่างๆ ของรัฐตั้งแต่ช่วงโควิดปีที่แล้ว หลายโครงการเป็นโครงการที่ดีเจตนาดี แต่บ่อยครั้งที่เราเห็นตลอดมาว่ารัฐคิดไม่ครบ คิดไม่จบ ไม่รอบคอบ ไม่รัดกุม พอเกิดปัญหาก็ผลักให้ประชาชนเป็นผู้ร่วมรับผิดชอบตลอด ขอเรียกร้องให้รัฐคิดให้รอบคอบในการออกโครงการต่างๆ และให้ความยุติธรรมกับประชาชนและคนทำมาค้าขายทุกคน เพื่อที่โครงการดีๆ จะได้ไม่เป็นภาระกับประชาชน” นายรณกาจระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผงะ! ขุนคลัง ขอร่วมวงถก สมาคมแบงก์
“ขุนคลัง” ส่งซิกร่วมประชุมสมาคมแบงก์ หวังถกปลดล็อกปล่อยกู้ กระทุ้งหั่นดอกเบี้ย พร้อมเร่งหาข้อสรุปมาตรการ LTV ให้จบก่อนสิ้นเดือนนี้ “นักวิชาการ” หนุนหวยเกษียณ แต่แนะเพิ่มเงินรางวัล
นายแบงก์ผวา! 'ขุนคลัง' ส่งซิกร่วมประชุมสมาคมธนาคารไทย บี้ปลดล็อกปล่อยกู้ หั่นดอกเบี้ย เร่งสรุปLTVก่อนมหกรรมบ้าน
'ขุนคลัง' ส่งซิกร่วมประชุมสมาคมแบงก์ หวังถกปลดล็อกปล่อยกู้ กระทุ้งหั่นดอกเบี้ย พร้อมเร่งหาข้อสรุปมาตรการ LTV คาดได้ข้อสรุปก่อนมหกรรมบ้านและคอนโด ปลายเดือนนี้