"สนธิญา-ธีรยุทธ" ร้องป.ป.ช.ฟันจริยธรรมร้ายแรง 44 สส.ก้าวไกล เสนอแก้ ม.112 หวังตัดสิทธิ์การเมืองตลอดชีวิต ขู่ตามเก็บข้อมูลใครขัดคำสั่งศาลเพิ่ม “ศิริกัญญา” ลั่นไม่กังวล พร้อมสู้คดีจริยธรรม มั่นใจศาล รธน.กับศาลฎีกาพิสูจน์พฤติการณ์ต่างกัน ชี้มีเวลาวางตัวแกนนํารุ่นใหม่ส่งต่ออุดมการณ์พรรค "ปิยุบตร" เย้ย "ก.ก." แหย-หงอ ถอดนโยบาย 112 พ้นเพจพรรค "ภูมิธรรม" พลิ้วปม "พท." แก้ 112 บอกไม่ใช่จะรับปากทำกันได้ "พุทธะอิสระ" แนะพรรคส้มเลิกใช้สงครามน้ำลาย หาวิธีรอดยุบพรรคดีกว่า
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) วันที่ 2 ก.พ. นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร ได้เดินทางมายื่นคำร้องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบจริยธรรม สส. 44 คน ของพรรคก้าวไกล ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
นายสนธิญากล่าวว่า ติดตามเรื่องการเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ตั้งแต่จดจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่เมื่อปี 61 รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของคณะนิติราษฎร์ มาจนถึงพรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งผูกพันทุกองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามคำวินิจฉัย เรื่องนี้ถือเป็นมรดกบาป เป็นการกระทำถ่ายทอดเป็นกรรมพันธุ์ เป็นดีเอ็นเอ จากพรรคอนาคตใหม่ถึงพรรคก้าวไกล ตนคัดค้านมาตลอด 7 ปี และเห็นใจ สส.ทั้ง 44 คนที่ร่วมลงชื่อ เสนอแก้ไขมาตรา 112 แต่หวังให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต
นายสนธิญากล่าวว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวส่งผลต่อพรรคก้าวไกล 3 ประการ ได้แก่ 1.กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนอย่างน้อย 3 มาตรา ทั้งใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง 2.ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง นำไปสู่การกระทำล้มล้างการปกครองที่มีโทษถึงขั้นยุบพรรคการเมือง และ 3.การยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่กระทำผิด ซึ่งนำมาประกอบ เพราะเรื่องจริยธรรมแยกออกมาจากกฎหมาย เป็นมาตรฐานตามอุดมการณ์ที่เป็นบทบัญญัติที่ร้ายแรง โดย ป.ป.ช.จะต้องยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศาลฎีกา
"ขอแจ้งพรรคก้าวไกลและผู้บริหารพรรค ผมจะเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำตั้งแต่ 31 ม.ค.67 เป็นต้นมา ทั้งของพรรค และคำให้สัมภาษณ์ของนายปิยบุตร แสงกนกกุล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ รวมถึงนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ยังจะเดินหน้าเรื่องประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อไปหรือไม่ จะรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการเดินหน้าแก้ไขมาตราดังกล่าวเพื่อนำมาประกอบการชี้แจงต่อ ป.ป.ช. เพื่อนำไปสู่การเอาผิด สส.ทั้ง 44 คน" นายสนธิญากล่าว
อดีตที่ปรึกษา กมธ.กล่าวด้วยว่า จะติดตามเรื่องการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หากมีรายละเอียดเสนอนิรโทษกรรมความผิดให้กับผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 ก็จะนับรวม เพราะเป็นการแสดงว่ากำลังแก้ไขมาตราดังกล่าว เปรียบเป็นมรดกบาป ถือเป็นการตั้งใจเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ไม่ได้เคารพศาล ไม่ทำตามที่ศาลสั่ง จึงขอเตือนให้พรรคก้าวไกลที่ยังคงเคลื่อนไหวอยู่
“การยื่นร้องจริยธรรมในวันนี้ คิดว่ามีโอกาส 50:50 แต่ถ้าหลังจากนี้ยังมีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามคำสั่งศาล คิดว่ามีโอกาสตัดสิทธิ์ทางการเมือง เพราะผมมีเป้าหมายให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต” อดีตที่ปรึกษา กมธ. กล่าว
ขณะที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ในฐานะผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กรณีนายพิธาและพรรคก้าวไกลกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็เดินทางมายื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อขอให้ไต่สวนและดำเนินคดีกับ สส.พรรคก้าวไกล 44 คน ฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีร่วมกันเสนอร่างแก้ไขมาตรา 112 เช่นกัน
นายธีรยุทธกล่าวว่า ศาล รธน.วินิจฉัยว่าการแก้ไขมาตรา 112 เป็นการลดทอนสถานะและการคุ้มครองสถาบัน มุ่งหมายแยกสถาบันออกจากความเป็นชาติไทย เป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครอง ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ข้อ 5 ที่กำหนดว่าต้องยึดมั่นและดำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ และข้อ 6 ที่กำหนดว่าต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขต และเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน
นอกจากนี้ ข้อ 27 วรรคหนึ่ง ที่กำหนดว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมในหมวด 1 ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ซึ่งมาตรฐานจริยธรรมดังกล่าวข้อ 3 วรรคสอง กำหนดว่ามาตรฐานทางจริยธรรมนี้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 ด้วย
ถามว่าการยื่นครั้งนี้จะทำให้โดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วยหรือไม่ นายธีรยุทธกล่าวว่า ไม่ใช่ความต้องการของตน แต่จะไปถึงตรงนั้นได้หรือไม่เป็นบทบัญญัติของกฎหมาย ขึ้นอยู่กับวิธีการไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐาน การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. คำวินิจฉัยศาล รธน.มีครบถ้วน
ซักว่าพรรคก้าวไกลได้ถอดนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ออกจากหน้าเพจของพรรคแล้ว นายธีรยุทธกล่าวว่า เป็นการดำเนินตามคำสั่งของศาล เชื่อว่าเรื่องนี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคน่าจะแนะนำไว้แล้ว
เมื่อถามว่า แกนนำบางคนแสดงความเห็นว่าการเอานโยบายแก้ไขมาตรา 112 ออกจากหน้าเพจ แต่ถูกซ่อนไว้ภายในและสามารถหยิบยกขึ้นมาดำเนินการเมื่อไหร่ก็ได้ นายธีรยุทธ กล่าวว่า หากมีการทำเช่นนั้นจริง ก็ยังคงเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่ามีการซ่อนเร้น แต่เชื่อว่าทีมกฎหมายจะมีการเสนอแนวทางให้กับพรรคที่มีความชัดเจนมากกว่านี้
ผวายุบ 'ก.ก.' วางตัวรุ่นใหม่
ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีมีผู้ไปยื่นร้องสอบจริยธรรม 44 สส.ของพรรคที่ลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ว่า ตนก็เป็นหนึ่งใน สส.ที่ลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งพรรคได้เตรียมต่อสู้คดีในเรื่องนี้แล้ว เพราะเป็นหนึ่งในฉากทัศน์ที่คาดไว้ ดังนั้นไม่ได้กังวลใจ และมีข้อต่อสู้ในเชิงคดี ที่น่าจะทำให้เราไม่ถูกตัดสินว่าทําผิดจริยธรรมและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง
น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า สามารถชี้แจงไม่ได้มีเจตนายกเลิกมาตรา 112 ได้แน่นอน เพราะการแก้ไขกฎหมาย เป็นสิทธิ์ชอบธรรมของ สส.ในฝ่ายนิติบัญญัติ หากทำไม่ได้ก็ควรมีการโต้แย้งตั้งแต่ต้น ซึ่งอาจมีส่วนให้เราไม่สามารถยื่นจนบรรจุเข้าวาระได้ ซึ่งการพิสูจน์พฤติการณ์ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญและศาลฎีกามีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเราก็จะสู้คดีอย่างเต็มที่
"เราต้องเตรียมตัวสำหรับกรณีเลวร้ายที่สุด แต่ก็มีความหวัง เราคิดว่าระยะเวลาของกระบวนการยุติธรรมจะไม่รวดเร็ว จึงพอมีเวลาเตรียมแกนนำรุ่นต่อไปขึ้นมาแทนที่ได้แน่นอน เพราะฉะนั้นไม่กังวล หากดูจาก สส.ของพรรค และผู้มาร่วมทํางานก็มีหลายคนที่มีศักยภาพสูง แม้ว่าจะไม่มี 44 สส. แต่รับรองว่าอุดมการณ์และวิธีคิดของพรรคจะสืบทอดต่อไปได้" น.ส.ศิริกัญญากล่าว
เช่นเดียวกับ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยืนยันไม่มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องการยุบพรรคก้าวไกล เพราะตนเองก็เป็น 1 ใน 44 รายชื่อที่ลงชื่อเสนอนโยบายนี้ และภายในพรรคก็ไม่ได้มีการพูดคุยกันถึงประเด็นดังกล่าว โดยทุกคนก็ยังคงทำงานตามปกติ
นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีพรรคก้าวไกลนำนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ออกจากเว็บไซต์ของพรรคว่า ทำไมแหยและหงออย่างนี้ ในคำวินิจฉัยไม่ได้สั่งให้เอาออกเลย และต่อให้เอาออกแล้วอย่างไร ศาลก็วินิจฉัยไปแล้ว ตกลงพรรคก้าวไกลจะร่วมสร้างบรรยากาศความกลัวให้กับสังคมในเรื่องนี้ด้วยหรือ
“ในช่วงยามแบบนี้ แทนที่จะพยายามหาวิธีการประคับประคองเรื่องเสรีภาพ และยืนบนหลักให้ได้ แต่กลับช่วยกันขีดวงเสรีภาพให้หดแคบลง ถ้าจะเดินแบบนี้ คุณถอยตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลไปเลยดีกว่าครับ ถ้าบทจะยุบ จะตัดสิทธิขึ้นมาจริงๆ ต่อให้เอานโยบายออกจากเว็บ เขาก็ยุบ เขาก็ตัดสิทธิอยู่ดี เฮ้อ” นายปิยบุตรระบุ
แกนนำคณะก้าวหน้าระบุว่า หากอ่านจากคำบังคับของศาล รธน.จะเห็นได้ว่า 1.ศาลฯ สั่งให้พรรคก้าวไกลและพิธาเลิกแสดงความเห็น เพื่อให้มีการยกเลิก 112 2.ไม่ให้มีการแก้ไข 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ คำนี้น่าจะอนุมานจากคำวินิจฉัยนี้ได้ว่าห้ามแก้ใน 3 ประเด็นที่ศาลบอกว่าเป็นการล้มล้างฯ ได้แก่ ห้ามย้ายหมวด, ห้ามกำหนดเหตุยกเว้นความผิด เหตุยกเว้นโทษ, ห้ามกำหนดให้ยอมความได้ และห้ามกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ
“ตรงไหนที่ศาลสั่งให้เอานโยบายออกจากเว็บครับ คำบังคับข้อหนึ่ง คือ การห้ามแสดงออกเพื่อยกเลิก 112 ครับ แน่นอนไม่มีใครมั่นใจ 100% หรอก เพราะปากกาอยู่ที่ศาล แต่ในฐานะพรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนเรื่องนี้ผมคิดว่าต้องหาจุดสมดุลประคับประคองไปให้ได้ ไม่ควรออกอากาศกลัว ลนลานขนาดนี้” แกนนำคณะก้าวหน้าระบุ
ส่วนนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงนโยบายพรรค พท.เกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 ว่า เราพูดอยู่เสมอว่าเรื่องมาตรา 112 เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึง และการจะกระทำเรื่องนี้ได้ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ให้เรามารับปากว่าจะไปแก้ไขมาตรา 112 เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และวันนี้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่เป็นกลางทางการเมือง ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยว และรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจน
พท.รีบชิงชิ่งปมร้อนแก้ 112
ถามว่า พรรค พท.ไม่เคยหาเสียงเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า เราระมัดระวังเรื่องมาตรา 112 แม้กระทั่งมีตัวแทนมายื่นหนังสือกับเรา ให้เรารับ เราก็ชี้แจงไปว่าเรื่องนี้เราเห็นเช่นนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง และปฏิบัติอย่างเหมาะสม หรือแม้กระทั่งที่มีกลุ่มเยาวชนมายื่นหนังสือกับเรา เราก็ได้แถลงแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะกระทบต่อสาธารณชน ไม่ว่าตัดสินใจไปเช่นไรก็มีผลกระทบที่คนส่วนหนึ่งเห็นด้วยและคนส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย และหากเป็นเช่นนี้ก็จะสร้างความแตกแยกครั้งใหม่ให้กับสังคม เราจึงบอกว่าจะต้องทำให้เกิดฉันทามติ พูดคุยกันอย่างเรียบร้อย หากคิดว่าสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องไปตัดสินใจ
นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีมีผู้ออกมาร้องพรรคก้าวไกลมากขึ้น หลังศาล รธน.ชี้นโยบายแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลเข้าข่ายล้มล้างการปกครองว่า เป็นสิทธิ์ เพราะคนไทยมีความคิดที่เสรี และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
"จากการประเมินสถานการณ์ข่าวฝ่ายความมั่นคงก็ดำเนินการตามปกติ และยังไม่คิดว่าจะมีอะไรน่าวิตก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องตั้งมั่นตลอดไม่ประมาท" รมว.กลาโหมกล่าว
วันเดียวกัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ “ขบวนการล้มล้างการปกครอง” ตอนหนึ่งระบุว่า ประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อคือ วันนี้แผนการล้มล้างการปกครองระบอบนี้ ได้มีการตั้งข้อสงสัยว่ามีการวางแผนทำกันเป็นขบวนการหรือไม่? จะจริงหรือที่การเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มนั้นต่างฝ่ายต่างทำ บนความเชื่อของตนเอง เพราะการล้มล้างทั้งสองเหตุการณ์นั้นมีการขับเคลื่อนของผู้แสดงที่หนุนซึ่งกันและกัน กลุ่มเยาวชนหนุนพรรค และพรรคก็หนุนเยาวชน มี NGO ที่รับเงินต่างชาติมาขับเคลื่อนในทิศทางเดียวกัน ขานรับกับสื่อที่เขามีอยู่ในมือจำนวนมาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นี่ยังไม่นับรวมรัฐบาลต่างประเทศ หรือวงการทูตที่แสดงออก ในการแทรกแซงการเมืองไทย แบบไม่ต้องเกรงอกเกรงใจรัฐบาลไทย
"ขอเตือนเหล่าขบวนการนี้ว่าพวกคุณคิดจะตัดรากแก้วต้นไม้ ถ้าอายุต้นไม้ไม่มากคุณตัดได้ และไปล้อมปลูกได้ แต่ไม้ใหญ่ที่อายุร่วม 700-800 ปี ที่ให้ความสงบร่มเย็นแก่ผู้อาศัย ขอบอกไว้เลยว่ายาก แต่ถ้าไปเอาคนต่างถิ่นมาช่วยตัด ถ้าตัดได้ ทุกอย่างก็ต้องล่มสลายตามกันไป รวมทั้งพวกคุณด้วย" นพ.วรงค์ระบุ
นายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก "หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)" ตอนหนึ่งระบุว่า เห็นบรรดานักวิชาการ นักการเมืองตระกูลส้ม และสื่อบางช่องที่เลือกข้าง ออกมาวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาล รธน. ในกรณีมีพฤติกรรมกัดเซาะ บ่อนทำลาย สถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อจะล้มล้างการปกครอง ซึ่งในคำวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวนั้นก็เข้าข่ายละเมิด หมิ่นประมาทอำนาจศาล ซึ่งศาล รธน.ก็ได้มีคำสั่งลงมาแล้วด้วยว่าการจะนำเอาคำวินิจฉัยไปวิพากษ์วิจารณ์ให้เกิดผลเสียต่อคำวินิจฉัยของศาลนั้นย่อมกระทำมิได้
"พุทธะอิสระก็ขอเตือนมาด้วยความปรารถนาดีว่า อย่าไปใช้สงครามน้ำลาย ทำร้าย ทำลายศาลและคำวินิจฉัยของศาล รธน.อยู่เลย ควรจะใช้เวลาที่มีอยู่ไปหาวิธีช่วยพลพรรคก้าวไกลให้รอดจากการถูกยุบ และรอดจากคำกล่าวหากรณีละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงของนักการเมืองจะดีกว่าไหม ป่วยการที่จะดาหน้ากันออกมาสร้างวาทกรรม กัดกร่อน บ่อนเซาะคำวินิจฉัยของศาล ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหาแก่ชีวิตตนในภายหลัง แว่วๆ มาว่าเอฟซีของทนายอั้น (นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร) ได้เก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านั้นเอามานำเสนอให้พุทธะอิสระได้พิจารณาอยู่นะ ฉันเตือนมาด้วยความหวังดีและเอ็นดู แต่หากพวกคุณไม่เชื่อและยังไม่หยุดพฤติกรรมละเมิดต่อศาลเช่นนั้น ฉันก็คงจะต้องหยิบหลักฐานเหล่านั้น มาพิจารณาดูว่ามันเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ถ้ามีมูลก็ต้องของอภัย หากจะมีหมายศาลส่งไปถึงบ้านพวกคุณอีกสักฉบับ" อดีตพระพุทธะอิสระระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ฉายาสภาเหลี่ยม(จน)ชิน
ถึงคิวสื่อสภา ตั้งฉายา สส. "เหลี่ยม (จน) ชิน" จากการพลิกขั้วรัฐบาลเขี่ย
ตอกฝาโลงกิตติรัตน์ ‘กฤษฎีกา’ชี้ขาดคุณสมบัติ เหตุมีส่วนกำหนดนโยบาย
"กฤษฎีกา" ชี้ชัดสมัย "นายกฯ เศรษฐา" ตั้ง "กิตติรัตน์" เป็นประธานที่ปรึกษาของนายกฯ
‘เท้งเต้ง’ไม่ทน! ชงแก้ข้อบังคับ รมต.ตอบกระทู้
ทนไม่ไหว! “หัวหน้าเท้ง” หารือประธานสภาฯ ขอให้แก้ข้อบังคับการประชุม
แม้วพบอันวาร์กลางทะเล เตือนเสือกทุกเรื่องทำพัง!
ปชน.จี้ถามรัฐบาล “ทักษิณ” มีอำนาจจริงปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่
ให้กำลังใจจนท.ดูแลปีใหม่ เข้มงวด‘ความปลอดภัย’
นายกฯ ให้กำลังใจตำรวจ-กรมทางหลวง ทำงานหนักช่วงปีใหม่
กฤษฎีกาเอกฉันท์โต้งหมดสิทธิ์
กฤษฎีกามติเอกฉันท์ "กิตติรัตน์" ขาดคุณสมบัติ หมดสิทธิ์นั่ง "ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ"