ยื้อเวลานิรโทษ2เดือน ก.ก.ย้ำพ่วงคดีม.112

สภาลงมติยื้อเวลาผุด พ.ร.บ.นิรโทษกรรมไป 2 เดือน "เดียร์" สะอื้น ชงกฎหมายยันเพื่อไทยไม่ยัดไส้ให้เจ้าหน้าที่พ้นผิด แต่ "โรม" ชี้นิรโทษฯ ของแท้ต้องครอบคลุมความผิด ม.112 ด้วย  ด้าน "ชัยธวัช" เชื่อการนิรโทษกรรมคู่ขัดแย้งทั้งหมดเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างการเมืองแห่งความรัก

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานที่ประชุม ได้พิจารณาญัตติด่วนขอให้สภาตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อศึกษาการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยมี น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอญัตติว่า การเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ดังกล่าว เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์และแนวทางที่เป็นสาระสำคัญการนิรโทษกรรมให้ได้ข้อยุติ ก่อนเสนอเป็นร่างกฎหมายต่อสภาผู้แทนราษฎร ที่ผ่านมาสังคมไทยผ่านช่วงเวลาของความขัดแย้งทางการเมืองแบบแบ่งขั้วอย่างรุนแรง และซึมลึกอยู่ในสังคมไทยมากว่า 20 ปี ตั้งแต่สงครามสีเสื้อ การรัฐประหาร 19  กันยายน 49 การชุมนุมของกลุ่ม กปปส. การรัฐประหาร 22 พฤษภา 57 มาจนถึงการชุมนุมของกลุ่มคนรุ่นใหม่เมื่อปี 63 และ 64

"ในช่วงเวลาของความขัดแย้งดังกล่าว มีประชาชนจำนวนมากออกมาใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อแสดงความคิดเห็น และมีประชาชนจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วงบนท้องถนน โดยมีเหตุผลและแรงจูงใจทางการเมือง แต่กลับถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ถูกคุกคามเพื่อปิดปาก และจำกัดสิทธิเสรีภาพด้วยกฎหมายของรัฐ ส่งผลให้ปัจจุบันมีประ ชาชนจำนวนมากถูกรัฐทำให้กลายเป็นผู้ต้องหาทางการเมือง นักโทษทางการเมือง และผู้ลี้ภัยทางการเมือง"

น.ส.ขัตติยากล่าวว่า คำถามคือเราจะเดินหน้าอย่างไร เพราะเมื่อมองไปข้างหลังเรายังเห็นคนร่วมชาติถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนทางกฎหมาย  กุญแจที่ปลดโซ่ตรวนคือการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อที่จะลบล้างความผิดให้กับประชาชนทุกฝ่ายที่แสดงความคิดเห็นหรือเคลื่อนไหวด้วยแรงจูงใจทางการเมือง และเป็นจุดเริ่มต้นเดินต่อไปข้างหน้าและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

 “ดิฉันในฐานะผู้แทนฯ และเป็นหนึ่งในผู้ที่สูญเสียที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จากการกระทำที่รุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ  ดิฉันขอยืนยันในหลักการว่า จะไม่ให้มีการนิรโทษกรรมต่อความผิดที่เกิดแก่ชีวิตโดยเด็ดขาด” น.ส.ขัตติยากล่าวด้วยเสียงอันสั่นเครือ

ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายสนับสนุนว่า การนิรโทษกรรมไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว หรือมีภาพที่เป็นลบตลอดเวลา ตนคิดว่าโอกาสในการรับนิรโทษกรรม ไม่ควรผูกขาดกับคณะรัฐประหาร หรือคนที่คิดที่จะล้มล้างการปกครองเพียงอย่างเดียว ไม่ควรที่จะผูกขาดกับคนที่จะบ่อนเซาะ ต้องการที่จะทำลายระบบ ประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียว

ก่อนที่นายพิธาจะหยิบเอกสารจากสภาขึ้นมาอ้างอิง พร้อมระบุว่า ตั้งแต่ปี 2475-2557 ไม่ว่าจะครั้งไหน มีเพียงแค่ 2521 ครั้งเดียวที่เป็นพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่นอกจากนั้น มีแต่นิรโทษกรรมผู้กระทำการปฏิวัติ ยึดอำนาจปกครองประเทศ ความผิดต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรในฐานะกบฏ นี่คือสิ่งที่เราไม่ควรอนุญาตให้การผูกขาดการนิรโทษกรรมอยู่กับการรัฐประหารเพียงอย่างเดียว 

"เพราะฉะนั้น การนิรโทษกรรมครั้งนี้ จะต้องไม่คิดเฉพาะคนที่ทำรัฐประหาร แต่ควรคิดที่เหยื่อ คนที่ถูกทำรัฐประหาร เราต้องคิดถึงคนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายจากรัฐบาลที่สืบทอดมาจากการทำรัฐประหาร ไม่ใช่จำเป็นเฉพาะแค่พูดออกมาเรียกร้องทางการเมือง แต่ยังมีเรื่องอื่น เช่น การติดคุก ทวงคืนผืนป่า หรือคนที่ถูกรัฐฟ้องปิดปากประชาชน"

นายพิธากล่าวด้วยว่า ถ้าเราตั้งหลักกันได้ว่าเวลาที่จะนิรโทษกรรมเมื่อไหร่  หากฟังที่ตนพูดก็จะรู้ได้ว่าอย่างน้อยย้อนหลังไปถึงปี 2549 ใครที่จะได้รับนิรโทษกรรม ก็คงจะเดาออก ส่วนกระบวนการที่จะทำไม่ใช่แค่บอกว่ายุติคดีทางอาญา แต่คือการเยียวยา การออกมารับผิดชอบสร้างสาธารณะ ไม่ให้เกิดวัฒนธรรมผิดลอยนวล ไม่ใช่แค่นิรโทษกรรมของคนที่สั่งฆ่า แต่จะต้องดูคนที่ถูกฆ่าด้วย พูดในมุมของคนที่ต้องสูญเสียอิสรภาพในการอยู่ในประเทศบ้านเกิดเมืองนอนเท่านั้น จึงจะถือว่าเป็นการนิรโทษกรรมที่รอบคอบ บรรลุไปถึงเป้าหมายที่ประเทศไทยต้องการ ณ ปัจจุบัน 

นายพิธากล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าหากทำแบบนี้ตนคิดว่าจะเป็นกระดุมเม็ดแรกที่เราจะสามารถตั้งต้นทั้งสามอธิปไตยของประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือ 1.ฝ่ายบริหาร นายกรัฐมนตรีสามารถสั่งตำรวจได้เลย ชะลอคดี 2.ฝ่ายอัยการศาล ต้องวินิจฉัยคดี ด้วยความรัดกุม รอบคอบ บนฐานของข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่ใช่เอาอารมณ์หรืออะไรอย่างอื่นมาตัดสินด้วย 3.ฝ่ายรัฐสภา อภิปรายความแตกต่างของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่ว่าจะมาจากพรรคไหน และรวมถึงข้อคิดเห็นของประชาชนด้วย 
น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม.  พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขอฝากไปยังสส.ทุกคน มองกลับไปยังประชาชนโดยไม่ต้องแปะป้ายว่าพวกเขาใส่เสื้อสีอะไร  เลือกพรรคอะไร มีความคิดการเมืองแบบไหน ต่อสู้เรื่องอะไร แต่พวกเขาเหล่านั้นคือประชาชน ที่มีความเชื่อ ความกล้าที่จะพูด และมีความเชื่อว่าประเทศเราจะเปลี่ยนแปลงได้ นำเสนอแนวคิดทางการเมืองด้วยความกล้าหาญ แลกมาด้วยอิสรภาพ ชีวิตของพวกเขา เพราะนี่คือเหตุผลที่ทำให้เราที่ยืนในสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ ทำให้สภาเป็นทางออกของการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ดิฉันในนามพรรคก้าวไกล จึงขอร่วมสนับสนุนญัตตินี้
ส่วนนายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ  อภิปรายว่า พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนญัตตินี้ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง หาทางออกให้ประเทศ จุดยืนของพรรคต่อการนิรโทษกรรมมี 4 ข้อคือ 1.ไม่นิรโทษกรรมให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง 2.ไม่นิรโทษกรรมให้บุคคลใดที่ทำผิดกฎหมายร้ายแรง เกิดความเสียหายแก่ชีวิต ทรัพย์สิน ระบอบการปกครอง 3.การนิรโทษกรรม ถ้าจะเกิดขึ้น ต้องเป็นความเห็นชอบจากทุกฝ่าย ทุกสี ไม่เพิ่มความขัดแย้ง 4.ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคนที่ทำผิดมาตรา 112 เราไม่เอา

จากนั้น นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) อภิปรายว่า พรรคก้าวไกลเคยนำเสนอร่างนิรโทษกรรม ซึ่งมี 4 หลักการที่กรรมาธิการฯ ควรนำไปพิจารณาคือ 1.อย่ากำหนดมาตราที่นิรโทษกรรมไม่ได้ 2.หากจะจำกัดว่าอะไรที่ห้ามนิรโทษกรรม ควรมีลักษณะที่ร้ายแรง คือเป็นผู้กระทำผิดตามมาตรา 113 เป็นผู้กระทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. หรือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่สั่งให้ตีหัวผู้ชุมนุม หรือเป็นการกระทำที่พรากชีวิตผู้อื่น แบบนี้ไม่ควรได้รับการนิรโทษกรรม 3.ผู้ที่ออกไปชุมนุมล้วนปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง ดังนั้นแม้จะนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งทั้งหมดได้ ดังนั้นต้องกลั่นกรองโดยไม่ดูแค่มิติทางกฎหมาย แต่ต้องดูมิติทางการเมืองและองค์ประกอบอื่น ดังนั้นเราเสนอว่าควรมีคณะกรรมการ โดยให้เวลา 2 ปีเพื่อพิจารณา แล้วชี้ขาดว่าใคร กรณีไหนที่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม  และ 4.ใครที่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ไม่อยากได้รับการนิรโทษกรรม  สามารถสละสิทธิ์ได้ ทั้งนี้ อย่าให้ใครว่าได้ว่ามีแต่ทหารหรือคณะรัฐประหารที่ได้รับการนิรโทษกรรม วันนี้สภาที่มาจากประชาชนควรทำหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง 

นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ   หัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า เห็นด้วยกับการตั้ง กมธ.วิสามัญฯ การนิรโทษกรรมคู่ขัดแย้งทั้งหมดเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างการเมืองแห่งความรัก การเมืองที่สร้างความเข้าอกเข้าใจต่อกัน สร้างความปรารถนาดีร่วมกัน เพื่อให้พวกเรามีระบบการเมือง มีระเบียบสังคมที่พวกเราอยู่ร่วมกันได้ แม้จะไม่มีทางเห็นตรงกันทุกเรื่องก็ตาม

หลังสมาชิกอภิปรายแสดงความคิดเห็นเสร็จสิ้น ซึ่ง สส.ที่อภิปรายทั้งหมดเห็นด้วยกับการตั้ง กมธ. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานที่ประชุมจึงแจ้งว่า เมื่อที่ประชุมไม่มีใครเห็นเป็นอย่างอื่น จึงถือว่าที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้ง กมธ.วิสามัญเพื่อศึกษาการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยมี กมธ.จำนวน 35 คน พิจารณาภายใน 60 วัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง