รบ.ลากยาว‘สว.’ซักฟอกปลายมี.ค.

นายกฯ สั่งทุกหน่วยงานเร่งเสนอ กม. หลังพบล่าช้า พร้อมให้ “สมศักดิ์” ไล่บี้ทุกกระทรวง เปิดภารกิจเดือน ก.พ. เดินสายแน่น “ลพบุรี- อีสาน-3 จชต." ผลตรวจพบนายกฯ ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A "ภูมิธรรม" ลั่น พร้อมทุกเมื่อ สว.เปิดอภิปราย แต่นายกฯ เดินสาย ตปท.ยาวหลัง 20 มี.ค.อภิปรายได้ "สว." สับเละนโยบายประชานิยม สร้างวาทกรรมให้ได้คะแนนเสียง "ดิจิทัลวอลเล็ต" หาเสียงอีกอย่าง ทำอีกอย่าง หลอกลวงเพื่อคะแนนนิยม

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 30 มกราคม   นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.การคลัง เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนการประชุมบริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 คณะกรรมการมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อมอบดอกไม้ที่ระลึกวันทหารผ่านศึก (ดอกป๊อปปี้) ให้นายกฯ และ ครม.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับภารกิจในการเดินทางลงพื้นที่ต่างจังหวัดของนายกรัฐมนตรีช่วงเดือน ก.พ. โดยวันที่ 9 ก.พ. นายกฯ จะลงพื้นที่ดูงานด้านเกษตรกรรม จ.ลพบุรี และช่วงเย็นร่วมงานแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จากนั้นวันที่ 17-19 ก.พ. มีภารกิจลงพื้นที่ จ.นครพนม สกลนคร และอุดรธานี ดูด้านการท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐาน ถนนเชื่อมจังหวัด และนวัตกรรมด้านการเกษตร และวันที่ 27-29 ก.พ. นายกฯ จะเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดูการส่งเสริมเรื่องการท่องเที่ยว และเร่งรัดการลงทุนอุตสาหกรรมฮาลาล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม ครม. นายเศรษฐายังมีอาการป่วยไข้หวัดอยู่ ช่วงการแถลงข่าวนายกฯ มีสีหน้าอิดโรยเล็กน้อย น้ำเสียงแหบ และกระแอมไอเป็นระยะ แต่ยังตอบคำถามของผู้สื่อข่าวทุกคำถาม

ต่อมา เวลา 16.35 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐาเดินทางกลับภายหลังการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย โดยได้สวมหน้ากากอนามัย ก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะสอบถามว่าอาการเป็นอย่างไร ผลตรวจเลือดออกแล้วหรือไม่ ซึ่งนายกฯ ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A แต่วันพรุ่งนี้ (31 ม.ค.) ยังคงปฏิบัติงานตามเดิม โดยช่วงเย็นมีนัดรับประทานอาหารกับผู้นำเหล่าทัพ

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม. ว่า นายกฯ ได้ขอให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานไปเร่งตรวจสอบและเสนอกฎหมายที่อยู่ในความรับผิดชอบ เพื่อเสนอต่อ ครม.โดยเร็ว สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 31 ต.ค.66 นายกฯ ได้เคยกำชับให้ทุกกระทรวงกลับไปทบทวนกฎหมายของตัวเอง ทั้งกฎหมายและระเบียบเดิมว่าอะไรควรจะต้องยกเลิกให้รีบเสนอมา รวมถึงกฎหมายฉบับใหม่ๆ ที่ต้องเสนอเข้ามา ซึ่งนายกฯ ได้ให้ทีมงานมอนิเตอร์ พบว่าการเสนอกฎหมายของรัฐบาลยังล่าช้า จึงขอให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ประสานกับรัฐมนตรีทุกคนไปเร่งรัดทุกกระทรวงให้เร่งเสนอกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขหรือเสนอเข้ามาใหม่ เพื่อให้ ครม.พิจารณาโดยเร็วที่สุด

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงความพร้อมของ ครม. ภายหลังสมาชิกวุฒิสภายื่นมติอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามมาตรา 153 ว่า จะอภิปรายวันไหนก็ได้ รัฐบาลมีความพร้อมอยู่แล้ว ซึ่งการอภิปรายตามมาตรา 153 ก็เป็นการแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์ และการติติง ซึ่งเป็นธรรมดาที่รัฐบาลต้องรับฟัง ซึ่งเรื่องใดที่เป็นประโยชน์ก็จะน้อมรับฟังและนำไปปฏิบัติ แต่เรื่องใดที่ยังมีการสื่อสารที่คลาดเคลื่อนกัน ไม่เข้าใจกัน รัฐบาลก็พร้อมที่จะชี้แจง ซึ่งทุกคนก็ทำตามหน้าที่ ฝ่ายค้านก็ทำตามหน้าที่ สว. ก็ทำตามหน้าที่ รัฐบาลก็มีหน้าที่ที่ต้องชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนมากขึ้น

"แต่ตอนนี้รัฐบาลติดภารกิจของนายกฯ ที่จะเดินทางไปประเทศศรีลังกา ต่อด้วยการเดินทางไปประเทศออสเตรเลีย รวมถึงจะเดินทางไปยังทวีปยุโรปในหลายๆ ประเทศ นับเป็นภารกิจที่มีระยะเวลากว่า 10 วัน โดยเริ่มเดินทางตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม ซึ่งหลังวันที่ 20 มีนาคมเป็นต้นไป วันใดที่พร้อมก็สามารถอภิปรายได้ทันที"

เมื่อถามว่า หาก สว.มีการอภิปรายเนื้อหาถึงคนชั้น 14 จะมีองครักษ์มาปกป้องหรือไม่ ภูมิธรรมกล่าวว่า อย่าเพิ่งไปคิดว่ามี เพราะยังไม่รู้ว่า สว.จะอภิปรายเรื่องใดบ้าง จริงๆ ตนไม่ชอบให้คนจินตนาการมาก เพราะตนนั้นอยากให้อยู่กับความเป็นจริง

ที่ทำการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ก.ก. กล่าวถึงการนัดรับประทานอาหารเย็นกระชับมิตรของแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านในเย็นวันที่ 1 ก.พ.นี้ ซึ่งเป็น 1 วันหลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยคดีพรรค ก.ก.หาเสียงแก้ไข มาตรา 112 ว่า เรื่องวันที่ประจวบเหมาะกัน น่าจะเป็นเรื่องบังเอิญ ความจริงการหารือร่วมกันระหว่างพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นประจำ เพื่อให้การทำงานร่วมกันมีเอกภาพ แม้ว่าการทำงานของพรรคร่วมฝ่ายค้านอาจจะไม่ได้ลักษณะเดียวกันกับพรรคร่วมรัฐบาล เพราะอาจไม่ได้มีการรวมตัวกันเป็นกิจจะลักษณะ แต่การหารือแนวทางการทำงานร่วมกันก็เป็นเรื่องสำคัญ

ส่วนเรื่องหัวข้อในการอภิปรายทั่วไป นายพริษฐ์กล่าวว่า เคยถูกพูดคุยอย่างเป็นทางการในการประชุมมาแล้ว เบื้องต้นแม้ยังไม่ได้มีการตัดสินใจเรื่องวันเวลา แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากงบประมาณปี 2567 ผ่าน 3 วาระไปแล้วเวลาที่เป็นไปได้สุดคือช่วงต้นเดือน เม.ย. ก่อนที่จะปิดสมัยประชุม ส่วนจะเป็นแบบลงมติหรือไม่ ต้องหารืออีกที

ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาเรื่องผลกระทบของนโยบายหาเสียงเชิงประชานิยมของพรรคการเมืองไทย ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน  วุฒิสภา พิจารณาเสร็จแล้ว

โดยนายกำพล เลิศเกียรติดำรงค์ สว.กมธ. ในฐานะประธานอนุ กมธ.ด้านวิชาการและเสริมสร้างให้ความรู้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พิจารณาศึกษาเรื่องผลกระทบของนโยบายหาเสียงเชิงประชานิยมของพรรคการเมืองไทย ชี้แจงว่า นโยบายหาเสียงเชิงประชานิยมมีทั้งข้อดีและข้อเสียควบคู่กันไป หากมีการหาเสียงไปในทิศทางการสร้างวาทกรรมหรือการใช้ช่องว่างทางกฎหมายที่ไม่เหมาะสมล้วนแล้วก่อให้เกิดปัญหา สร้างร่องรอยความเสียหายให้กับประเทศอย่างใหญ่หลวง การเลือกตั้งปี 66 พรรคการเมืองมีการใช้นโยบายหาเสียงเชิงประชานิยมมากกว่าการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา นโยบายการหาเสียงที่ไร้ผิดชอบ เปรียบเสมือนนโยบายชวนเชื่อที่พยายามจะให้ช่องว่างของกฎหมาย สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ก่อภาระหนี้ผูกพันของประเทศมาจนถึงปัจจุบันและอนาคตได้

  ด้านนายเชษฐา ทรัพย์เย็น อนุ กมธ. ชี้แจงว่า ประเด็นเรื่องความชอบธรรมในการออกนโยบายประชานิยม อาจจะเป็นการละเมิดหลักการประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะเป็นการเอาเสียงข้างมากมากดเสียงข้างน้อย และเป็นการเอาผลประโยชน์ของประชาชนแลกกับคะแนนเสียงทางการเมืองหรือไม่ 

  จากนั้นเปิดให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น โดยนายเฉลิมชัย เฟื่องคอน สว. อภิปรายว่า เรื่องประชานิยมโดยเฉพาะเงินดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาล ที่หาเสียงไว้อย่าง แต่ปฏิบัติอีกอย่าง โดยหาเสียงว่าเงิน 5.6 แสนล้านบาท ให้คนละ 1 หมื่นบาททุกคน โดยไม่ต้องกู้ แต่เวลาแถลงนโยบายก็บอกเงินไม่มี ต้องกู้ และแจกไม่ทุกคน อย่างนี้ถือว่าหาเสียงอีกอย่างทำอีกอย่าง หลอกลวงเพื่อคะแนนนิยม ทำให้ประชาชนหลงผิด

ขณะที่ นายเสรี สุวรรณภานนท์ สว.ในฐานะประธาน กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ  ชี้แจงว่า รัฐธรรมนูญปี 60 เห็นปัญหาในเรื่องเหล่านี้ จึงได้บัญญัติไว้ในมาตรา 258 หมวด ก (3) ที่ให้ความสำคัญว่านโยบายต่างๆ ต้องมีกลไกกำหนดความรับผิดชอบของพรรคการเมือง แต่ กกต.บอกว่าเป็นนโยบายสามารถทำได้ ปัญหาก็กลับมาที่ กกต.อีก หาก กกต.บอกว่าทำไม่ได้ หมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมาย กระทบการเงินการคลัง นโยบายนี้มีปัญหากับการเลือกตั้ง พรรคการเมืองเขาก็จะไม่นำมาใช้ แต่ปรากฏว่า กกต.ไปวางกฎเกณฑ์ไว้แบบนี้ กกต.จึงขาดความน่าเชื่อถือ

ทั้งนี้ หลังสมาชิกแสดงความคิดเห็นเสร็จสิ้น ที่ประชุมวุฒิสภาเห็นชอบกับรายงานฉบับนี้ เพื่อส่งให้รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ รับทราบ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกต.จับตาศึก ‘อบจ.ราชบุรี’

ประธาน กกต.ยันจับตาเลือกตั้ง อบจ.ราชบุรีวันอาทิตย์นี้ เตือนอย่าทำอะไรผิดกฎหมาย “2 ผู้สมัคร” แห่หาเสียงโค้งสุดท้าย โดยเฉพาะเด็กค่าย ปชน.

ไปข้างหน้าเพื่อชาติ! อิ๊งค์วอนเสื้อแดงให้เข้าใจ ราชทัณฑ์ดิ้นโต้เสรีพิศุทธ์

"นายกฯ อิ๊งค์" เผย ครม.นิ่งแล้ว รอตรวจประวัติเสร็จทำงานได้ทันที แจงจับมือ "ประชาธิปัตย์" เพื่อเสถียรภาพรัฐบาล บอกเข้าใจหัวอกคนเสื้อแดง วอนก้าวไปข้างหน้าเพื่อชาติ