1มี.ค.ดีเดย์ฟรีวีซ่า‘ไทย-จีน’

“ไทย-จีน” ลงนามฟรีวีซ่า มีผลบังคับใช้ 1 มี.ค.นี้ “ปานปรีย์” ชี้สัญลักษณ์มิตรภาพความไว้เนื้อเชื่อใจ  “หวัง อี้” ย้ำสัมพันธ์แน่นแฟ้นพี่น้องกัน  ยินดีต้อนรับคนไทย เร่งสร้างรถไฟจีน-ไทย-ลาว "เศรษฐา" ปลื้มก้าวสำคัญสองประเทศ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจรายได้ส่งตรงถึงพ่อค้าแม่ค้า

ที่ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 28 มกราคม เวลา 11.50 น. นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ  และนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่า) ซึ่งกันและกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และหนังสือเดินทางกึ่งราชการ   ในโอกาสที่นายหวัง อี้ เยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 26- 29 ม.ค.67

จากนั้น นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย และ น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ  ลงนามในเอกสารสัญญาเช่าที่ราชพัสดุฯ   เพื่อใช้เป็นที่ทำการและบ้านพักเจ้าหน้าที่ สถานกงสุลใหญ่สาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ใน จ.เชียงใหม่ และ จ.ขอนแก่น

นายปานปรีย์แถลงภายหลังการลงนามว่า มีความยินดีที่ได้ต้อนรับนายหวัง อี้ เยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตนได้พบปะหารือกับนายหวัง อี้ ถึง 2 ครั้ง เป็นโอกาสที่ได้หารืออย่างในละเอียด กว้างขวาง ในประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญของทั้งสองประเทศ รวมทั้งเรื่องสำคัญในภูมิภาค

ส่วนการประชุมกลไกการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย-จีน ครั้งที่ 1 นั้น นายปานปรีย์กล่าวว่า ถือเป็นก้าวสำคัญของรัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งตามข้อตกลงมีการสลับกันเป็นเจ้าภาพหารือกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยมีการหารือส่งเสริมความร่วมมือในทุกด้าน ยืนยันจะสนับสนุนซึ่งกันและกันในทุกมิติ ทั้งการเพิ่มพูนการค้าและการลงทุน ความมั่นคง วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การอำนวยความสะดวกด้านการเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน และความร่วมมือในเวทีพหุภาคีในภูมิภาค

รวมทั้งเรายังได้แลกเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่สำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์โลก และภูมิภาคของเรา ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในเมียนมา คาบสมุทรเกาหลี  สถานการณ์ในตะวันออกกลาง เป็นต้น และเราเห็นว่าความสัมพันธ์ไทย-จีน สำคัญต่อเสถียรภาพและความเจริญในภูมิภาคอย่างยิ่ง จึงจะยึดแนวทางของประชาคมไทย-จีน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนยิ่งขึ้นไป

"ไทยกับจีนได้ลงนามในเอกสารความสำคัญที่สะท้อนความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด อย่างความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราและที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2567 เป็นต้นไป ถือว่าความตกลงนี้เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพไทย-จีน ที่มีมาอย่างยาวนาน และความไว้เนื้อเชื่อใจได้ทุกระดับ มั่นใจว่าการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน การท่องเที่ยว หรือติดต่อธุรกิจต่างๆ จะเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ช่วยกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทางฝั่งไทยและจีนได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 จะเป็นโอกาสพิเศษยิ่ง ที่ไทยกับจีนได้เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เพื่อให้ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นอยู่แล้วเพิ่มขึ้นในทุกด้าน" นายปานปรีย์ระบุ

ด้านนายหวัง อี้ กล่าวว่า การลงนามความตกลงยกเว้นวีซ่าไทย-จีน จะเป็นกระแสหลักใหม่ของการแลกเปลี่ยนของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาถึงเมืองไทยจะเพิ่มมากขึ้น และทางจีนยินดีต้อนรับคนไทยมาเที่ยวที่ประเทศจีนด้วย จีนกับไทยไม่ใช่อื่นไกลเป็นพี่น้องกัน นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายต้องมีความร่วมมือในอนาคตที่มากขึ้น และเรายังเห็นพ้องตรงกันที่จะเร่งสร้างรถไฟจีนไทย เพื่อเชื่อมโยงกันระหว่างจีน ลาว และไทย อีกทั้งจีนกับไทยกำลังจะลงนามในสัญญาส่งออกสินค้าเนื้อสัตว์และต้นสนจากไทยไปยังประเทศจีน โดยจีนมีความยินดีที่จะนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยมากขึ้น และสนับสนุนให้บริษัทจีนมาลงทุนในไทย พัฒนาความร่วมมือด้านรถยนต์ไฟฟ้า เศรษฐกิจดิจิทัล และด้านสิ่งแวดล้อมสีเขียว รวมถึงจะมีการพัฒนาความร่วมมือบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง เพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การหลอกลวงทางโทรศัพท์ การพนันออนไลน์ และยาเสพติด สร้างทรัพยากรที่มีความมั่นคงทั้ง 2 ประเทศ

นอกจากนี้ ฝ่ายจีนจะสนับสนุนฝ่ายไทยในการจัดการประชุมระดับผู้นำและรัฐมนตรีเพื่อร่วมมือสร้างประชาคมในอนาคต ตามแนวประเทศล้านช้าง-แม่โขง และจีนยินดีที่จะร่วมมือกับไทยสร้างประชาคมอนาคตจีน-ไทย ให้มั่นคง มั่งคั่ง ยังยืน เพื่อสร้างเสถียรภาพและความแน่นอน ซึ่งสถานการณ์โลกกำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง

"ความสัมพันธ์ระหว่างจีนไทยนั้น ได้ถือว่าผ่านความท้าทาย มีความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด แต่ก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น พร้อมขอชื่นชมทางฝ่ายไทยที่ยึดมั่นกับหลักการประเทศจีนเดียว และสนับสนุนตามข้อริเริ่มทั่วโลก โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คือ TDI TFI และ GCI" นายหวัง อี้ ระบุ

ด้านนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลังการลงนามฟรีวีซ่าสำหรับคนไทยที่จะเดินทางไปจีนว่า "วันนี้ไทยกับจีนลงนามในความตกลงฟรีวีซ่าแล้วเรียบร้อยครับ สำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ ก้าวสำคัญในความสัมพันธ์ไทย- จีน และจะมีผลอย่างมากต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ใช่เพียงในแง่การค้าหรือการลงทุน การท่องเที่ยวระหว่างกันจะดีขึ้นเป็นอย่างมาก ส่งผลถึงรายได้จากนักท่องเที่ยว ที่ส่งตรงถึงพ่อค้าแม่ค้าในไทยครับ"

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ความตกลงฉบับนี้จะยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย และผู้ถือหนังสือเดินทางกึ่งราชการและหนังสือเดินทางธรรมดาของจีน ในการเดินทางเข้า-ออกหรือผ่านแดนของทั้งสองฝ่าย ซึ่งมีระยะเวลาพำนักแต่ละครั้งไม่เกิน 30 วัน และเมื่อรวมการเดินทางหลายๆ ครั้งภายในห้วงเวลา 180 วัน ระยะเวลาในการพำนักรวมกันต้องไม่เกิน 90 วัน ยกเว้นกรณีการพำนักถาวร การทำงาน การศึกษา กิจกรรมด้านสื่อ หรือกิจกรรมอื่นๆ  ที่จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตล่วงหน้าจากหน่วยงานที่รับผิดชอบของอีกฝ่ายหนึ่ง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความตกลงนี้เป็นผลมาจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16-19 ต.ค.2566 และได้หารือกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยขอให้ทั้งสองฝ่ายมีการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาซึ่งกันและกัน

ทั้งนี้ นายหวัง อี้ จะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในวันจันทร์ที่ 29 ม.ค.นี้ที่ทำเนียบรัฐบาลด้วย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง