กรุงเทพฯ ๐ "ผบ.ตร." ลั่นคดี "ป้าบัวผัน" จบแน่ ยันทำตรงไปตรงมา ไม่มีเรื่องอิทธิพล เตรียมศึกษาแก้กฎหมาย ลดอายุเยาวชนรับโทษ คาดเสร็จสิ้นเดือนนี้ สรุป ตร.สภ.อรัญประเทศ 2 นาย เข้าข่ายกระทำความผิดวินัยตำรวจ และ 1 ใน 2 นายกระทำผิดอาญา มาตรา 157 ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา ด้าน กสม.ชี้ ตร.ทำขัดต่อหลักสิทธิในกระบวนการยุติธรรม เตรียมส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ตรวจสอบ
จากกรณีเด็กและเยาวชน 5 คน ก่อเหตุทำร้ายร่างกายและฆ่า น.ส.บัวผัน ตันสุ หรือ “ป้าบัวผัน” และนำศพไปทิ้งบ่อน้ำเพื่ออำพรางคดี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2567 ในท้องที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอรัญประเทศได้นำตัวนายปัญญา คงคำแสน หรือ “ลุงเปี๊ยก” ซึ่งเป็นสามีมาสอบสวน และให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งต่อมาปรากฏหลักฐานว่าสามีผู้ตายถูกเจ้าหน้าที่กระทำทรมานและบังคับข่มขู่เพื่อให้รับสารภาพ รวมถึงให้นำชี้จุดเกิดเหตุ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่โครงการศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตำบลน้ำแพร่ อำเภอหางดง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการสอบสวนคดีป้าบัวผันว่า คณะสืบสวนข้อเท็จจริงคดีนี้จะคลี่คลายทุกอย่างให้จบภายในวันเดียวกันนี้ ยืนยันว่าตำรวจไม่มีการช่วยอยู่แล้ว และได้สั่งการไปว่าคดีทุกอย่างต้องตรงไปตรงมา เพราะมีพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือแม้แต่ พ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่ เป็นตัวบังคับ ซึ่งตำรวจก็ถูกตรวจเช็กแบบรอบด้าน และเทคนิคนิติวิทยาศาสตร์ทั้งหมดจะเป็นตัวชี้วัดว่าตำรวจผิด-ไม่ผิด หากผิดก็ว่าไปตามผิด
ผบ.ตร.กล่าวต่อว่า ได้หารือกับนายกรัฐมนตรีในเบื้องต้น ซึ่งนายกฯ ก็เห็นด้วยที่ ผบ.ตร.ลงพื้นที่ไปเอง และทุกอย่างจะจบหมด ยืนยันไม่มีเรื่องอิทธิพล ทำทุกอย่างตรงไปตรงมา วันนี้น่าจะจบในเรื่องของตำรวจที่ถูกกล่าวหาว่าจับแพะ
พบ ตร.สภ.อรัญฯ 2 นายผิด
เมื่อถามว่า ที่มีข้อเสนอจะให้แก้กฎหมายเพื่อลดโทษให้กับเยาวชนที่กระทำความผิดให้มีจำนวนอายุที่น้อยลง ผบ.ตร.กล่าวว่า ได้นำเสนอไป แต่ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) นำฝ่ายกฎหมายและคดีมาดูในข้อกฎหมายว่ามีสนธิสัญญาเกี่ยวกับสิทธิเด็ก ที่ประเทศไทยไปทำไว้กับสหประชาชาติว่าจะเป็นอุปสรรคหรือไม่ และต้องดูข้อศึกษาของประเทศญี่ปุ่นและประเทศเยอรมนี เขาทำได้อย่างไร ซึ่งต้องนำไปเปรียบเทียบกัน ตอนนี้ทีมงานทั้งหมด จะสรุปมาให้ตนภายในสิ้นเดือนนี้ เพื่อนำเรียนนายกรัฐมนตรี และให้กระทรวงยุติธรรม ได้สานต่อจากหลายหน่วยงาน
ขณะที่ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 เปิดเผยผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีคลิปเสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว บังคับขู่เข็ญให้ ลุงเปี๊ยกรับสารภาพในคดีฆาตกรรมป้าบัวผัน คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นแล้ว พบว่ามีตำรวจ สภ.อรัญประเทศ 2 นาย เข้าข่ายกระทำความผิดวินัยตำรวจ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 และ 1 ใน 2 นาย กระทำผิดอาญามาตรา 157 ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหาย พยานหลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหา
ทั้งนี้ ตำรวจภูธรภาค 2 จะส่งสำนวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้พนักงานสอบสวนภูธรจังหวัดสระแก้ว สืบสวนสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม หากพบว่ามีการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย หรือกฎหมายอื่นใด จะได้กล่าวโทษดำเนินคดีกับตำรวจผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด โดยตำรวจภูธรภาค 2 จะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และขอให้ประชาชนโปรดมั่นใจในการปฏิบัติงานของตำรวจภูธรภาค 2
กสม.ชำแหละตำรวจ
ขณะที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ว่า ได้ติดตามข่าวเหตุการณ์ข้างต้นมาอย่างต่อเนื่อง และเห็นว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอรัญประเทศ ไม่เป็นไปตามหลักสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของผู้ต้องหาหรือจำเลย รวมถึงปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนหลายประการ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 4 วางหลักไว้ว่า ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับการคุ้มครอง ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน และมาตรา 27 ระบุว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล
ไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม หรือเหตุอื่นใดจะกระทำไม่ได้ แต่กรณีที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่า “ป้าบัวผัน” และ “ลุงเปี๊ยก” ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายตามที่ควรจะเป็น และได้รับการปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม มีความพยายามช่วยเหลือผู้ก่อเหตุ และสร้างสถานการณ์ให้ “ลุงเปี๊ยก” ตกเป็น “แพะ” หรือจำเลยแทนอย่างเลวร้าย
การนำ “ลุงเปี๊ยก” ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพก็ขัดกับหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ (presumption of innocence) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 29 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ข้อ 14 ที่ว่า “ในคดีอาญา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้” หลักการเช่นว่านี้ เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่คุ้มครองบุคคลที่ถูกกล่าวหาจะต้องไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นผู้กระทำความผิดจนกว่าจะได้มีการพิสูจน์จนสิ้นข้อสงสัย
ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 68 และกติกา ICCPR ข้อ 14 ได้วางหลักไว้ว่า รัฐพึงให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายที่จำเป็นและเหมาะสม โดยจัดหาทนายความให้แก่ผู้ยากไร้หรือผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม และผู้ต้องหานั้นต้องได้รับแจ้งข้อกล่าวหาโดยพลันด้วย ด้วยเหตุนี้ การดำเนินคดีใดๆ ต่อผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งสอดคล้องกับกติกา ICCPR และต้องแจ้งให้บุคคลนั้นได้รับทราบว่าตนมีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือด้านกฎหมาย มีสิทธิปรึกษาหารือกับทนายความหรือผู้ที่ตนไว้วางใจ ทั้งนี้ หากเจ้าหน้าที่ไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาและแจ้งสิทธิให้แก่ผู้ต้องหา ย่อมเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิในกระบวนการยุติธรรมด้วย
เป็นการกระทำที่โหดร้าย
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงสิทธิของบุคคลที่จะไม่ถูกทรมานหรือการประติบัติหรือการลงโทษที่ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรี กสม.เห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัว “ลุงเปี๊ยก” ไปสอบสวนในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศแต่ให้ถอดเสื้อ นำถุงดำมาคลุมศีรษะ และบังคับข่มขู่เพื่อให้รับสารภาพ เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงแก่ร่างกายหรือจิตใจ และเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันเป็นเหตุให้ถูกลดทอนคุณค่าหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์ด้วย
ในการดำเนินคดีอาญา รัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจะทำการทรมานเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลหรือคำรับสารภาพจากผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้ การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการละเมิดต่อสิทธิที่จะไม่ถูกทรมานฯ อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ซึ่งหากผู้บังคับบัญชาทราบแต่ไม่ดำเนินการเพื่อระงับการกระทำความผิดย่อมต้องรับผิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยตามกฎหมายนี้ และการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่บันทึกภาพและเสียงในการควบคุมตัวก็ถือว่ามิได้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เช่นกัน
กสม.ขอเน้นย้ำว่า สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาหรือจำเลย รวมถึงประชาชนทุกคน รัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่ต้องเคารพ คุ้มครอง และเติมเต็มเพื่อให้สิทธิต่างๆ เกิดขึ้น จากกรณีข้างต้น กสม.จะส่งเรื่องให้สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อนำคนผิดมาลงโทษ และเพื่อฟื้นฟูและเยียวยาด้านร่างกายและจิตใจให้แก่ผู้เสียหายตามหน้าที่และอำนาจต่อไป
ขณะเดียวกัน กสม.จะร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนในเรื่องสิทธิในกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมชั้นต้นธารสำหรับทุกคน (Access to Justice for All) เพื่อเสนอไปยังคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมถึงแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนต่อไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ ถึงไทย ‘บิ๊กต่าย’ เข้ารายงานปมร้อน จัดโผแต่งตั้ง รองผบ.ตร- ผบช. 20 พ.ย.นี้
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เข้ารายงานนายกฯถึงการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่10/2567 ในวันที่ 20 พ.ย.นี้ เวลา 14.30 น.
จ่อคุมตัว‘เจ๊พัช’ ฝากขังผัดแรก! กรรโชก-สินบน
กองปราบฯ สอบเครียด “เจ๊พัช” กว่า 5 ชม. เจ้าตัวให้การปฏิเสธ
‘อิ๊งค์’ฟุ้งผลประชุมเอเปก
"นายกฯ อิ๊งค์" โชว์วิสัยทัศน์ปิดฉากเอเปก 2024 ชู 3 แนวคิด
ลุ้นถก‘ก.ตร.’ตั้ง‘นายพล’ ชิงเก้าอี้‘ผบช.น.’ฝุ่นตลบ
จับตา! “นายกฯ อิ๊งค์” นั่งหัวโต๊ะประชุม ก.ตร. 20 พ.ย. ประเดิมตั้ง “นายพลสีกากี”
โพลฉีกหน้ารบ.ยับ ไม่วางใจคุย‘เขมร’
งามหน้า! นิด้าโพลเผยชัดคนส่วนใหญ่ที่รู้เรื่อง MOU 2544
‘คลัง’ชงแพ็กเกจใหญ่!กระตุ้นศก.
“คลัง” ฟุ้งเตรียมขนแพ็กเกจใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ