ฟุ้งร่วมWEFเกิดประโยชน์คนไทย

นายกฯ พอใจผลสำเร็จเข้าร่วมประชุม WEF เชื่อเกิดประโยชน์มหาศาลแก่คนไทยนำไปต่อยอดได้อีกมาก "Nestlé" จับมือขยายการผลิตในอาหารสัตว์ ปธ.กมธ.ยุโรปเห็นพ้องเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี "Robert Bosch"   พร้อมร่วมมือผลิตชิ้นส่วนระบบขับเคลื่อน EV ขณะที่ Google นำเทคโนโลยีมาช่วยระบบบริการสาธารณสุขยกระดับรายได้เกษตรกร 

เมื่อวันที่ 18 มกราคม เวลา 09.00  น. (ตามเวลาท้องถิ่นเมืองดาวอส ซึ่งช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง) ณ ศูนย์ประชุม Congress Centre เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงผลการหารือ World Economic Forum (WEF) ว่า ได้ส่งข้อความถึงทั่วโลกว่า ประเทศไทยเปิดแล้วสำหรับทุกมิติ ทั้งการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ การลงทุนข้ามประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เมื่อวันที่ 17 มกราคม ได้ประชุมเสร็จสิ้นแล้ว 19 วงประชุม แบ่งเป็นการสัมมนา การพบปะภาคเอกชนต่างๆ และทวิภาคีกับบุคคลสำคัญ ทั้งประธานาธิบดีสมาพันธรัฐสวิส นายกรัฐมนตรีเบลเยียม นายกรัฐมนตรีกัมพูชา นายกรัฐมนตรีเวียดนาม

โดยได้พูดคุยเรื่องการค้า และขั้นตอนอื่นๆ ซึ่งการพูดคุยทำให้มีความชัดเจนที่จะนำไปปฏิบัติต่อไป ส่วนการพบปะกับภาคเอกชน ทั้งบริษัท COCA COLA และ Dubai World รวมถึงนักธุรกิจชั้นนำของโลกคนอื่นๆ เช่น นักธุรกิจชาวอินเดีย (Adani Group) มีความเชี่ยวชาญด้านท่าเรือและสนามบิน เป็นเรื่องที่ไทยสามารถนำไปต่อยอดได้อีกมาก

"การเดินทางมาครั้งนี้เชื่อว่าเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล แม้ว่าการพบปะทั้ง 19 วงประชุม จะค่อนข้างแน่น แต่ไม่รู้สึกเหนื่อย รู้สึกว่ากระชับ ได้ประโยชน์ และใจความตลอด ซึ่งวันนี้ยังต้องดำเนินภารกิจต่อ และในโอกาสที่ได้พบปะหารือกับผู้บริหารของ WEF ได้แจ้งว่าการเดินทางมาประชุมในครั้งนี้เป็นประโยชน์เป็นอย่างมาก โดยในปีหน้าก็จะมาร่วมการประชุมอีก ซึ่งวันนี้จะต้องปฏิบัติภารกิจอีก 4 การประชุม ก่อนเดินทางกลับประเทศไทย" นายกรัฐมนตรีกล่าว

เวลา 09.30 น. ณ ศูนย์ประชุม Congress Centre เมืองดาวอส นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง พบปะกับนายเรมี เอเจล (Remy Ejel) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย โอเชียเนีย และแอฟริกา (Chief Executive Officer Zone Asia, Oceania and Africa) บริษัท Nestlé ซึ่งเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสินค้าจําหน่ายและมีโรงงานอยู่ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นที่น่าดีใจที่บริษัท Nestlé ได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นระยะเวลานาน และเป็นบริษัทที่เป็นอันดับ 1 ของผู้บริโภคไทยที่ให้ความไว้ใจ นอกจากนั้น ปัจจุบัน ทางบริษัทได้ขยายการผลิตอาหารสัตว์ ที่มีความต้องการสูงมาก โดยจะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตและการส่งออก เพราะไทยมีความพร้อมในด้านภูมิศาสตร์ การขนส่ง และความพร้อมในด้านวัตถุดิบการผลิต ทั้งสองฝ่ายยังหารือในเรื่อง Single form พร้อมประสานไปยังหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึง BOI เพื่อเร่งรัดประเด็นนี้

เวลา 10.00 น. นายเศรษฐาหารือกับนางอัวร์ซูลา ฟอน เดอ ไลย์เอ็น ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป แลกเปลี่ยนมุมมองต่อสถานการณ์ความขัดแย้งและความไม่สงบทั่วโลก รวมถึงความจำเป็นของประเทศต่างๆ ที่จะเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และความเชื่อมโยงระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทั้งในระดับประชาชน และด้านเศรษฐกิจ พร้อมเห็นพ้องกันในการเดินหน้ากับการเจรจาความตกลงทางการค้าเสรี (FTA) ไทย-อียู ให้บรรลุผลโดยเร็ว

เวลา 10.40 น. นายเศรษฐาพบปะกับ ดร.Christian Fischer รองประธานกรรมการบริหาร (Deputy Chairman of the Board of Management) บริษัท Robert Bosch บริษัทเทคโนโลยียานยนต์ชั้นนําของโลก เชี่ยวชาญด้านการขับเคลื่อน อุตสาหกรรม สินค้าอุปโภคบริโภค เทคโนโลยีพลังงานและอาคาร หารือถึงการลงทุนของบริษัทในประเทศไทย ทั้งในด้านการขับเคลื่อน (automotive) และธุรกิจที่ไม่ใช่ด้านการขับเคลื่อน (non-automotive) ถือว่าสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยโรงงานในประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางในการผลิตของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค รวมไปถึงญี่ปุ่นด้วย

บริษัทมีความตั้งใจที่จะขยายการผลิตไปสู่การผลิตชิ้นส่วนของรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับตลาดรถยนต์ EV โดยจะสร้างโรงงานเพิ่มในประเทศไทย ซึ่งคาดว่าจะผลิตได้เต็มศักยภาพได้ภายในปี 2026 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ชวนให้บริษัทมาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค (Regional HQ) ในไทย โดยพร้อมจะสนับสนุนในมาตรต่างๆ

เวลา 11.15 น. นายเศรษฐาพบปะกับนางรูธ โพรัท ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน ของ Alphabet และประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงินของ Google โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ได้พูดคุยถึงการทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องในการลงทุน Cloud center ของ Google ในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นทิศทางที่ดี โดยที่ Google มีความตั้งใจที่จะนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยในระบบบริการสาธารณสุข ตลอดจนมีความตั้งใจที่จะยกระดับรายได้ของเกษตรกรไทย เพื่อให้ประชาชนทุกระดับได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่กำลังจะเข้ามา ภายใต้แนวความคิดไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง  (Leave no one behind).