นายกฯสั่งสศช. รื้อยุทธศาสตร์ 20ปีลุงตู่นานไป

“เศรษฐา” นั่งหัวโต๊ะประชุม คกก.ยุทธศาสตร์ชาติ ชี้ 20 ปี ต้องดูความเปลี่ยนแปลงของโลก ระบุ 5 ปียังยาวไป ไม่ทันการแข่งขัน ฉุนดึงลงทุนเพิ่มแต่ถูกฉุดค่าแรงขั้นต่ำ เป็นเรื่องน่าละอาย พร้อมสั่งการ สศช.ทบทวนปรับปรุงยุทธศาสตร์ชาติให้ทันกับบริบทการพัฒนาโลกอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2566 โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร, นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ, นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, ผู้บัญชาการเหล่าทัพ, ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

นายเศรษฐากล่าวก่อนเริ่มประชุมว่า  ยุทธศาสตร์ชาติที่ให้รัฐบาลและคนทั้งประเทศได้รับรู้และทำงานไปในทิศทางประเทศไทยในอนาคตที่เราอยากให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และเพื่อให้เรารู้ว่าจะไปถึงภาพนั้นเราต้องทำอะไรกันบ้าง การมียุทธศาสตร์ มีกลยุทธ์ในการทำงานเป็นเรื่องที่ดี แต่ตนไม่เชื่อกับการวางแผนและล็อกตัวเองไว้ยาวนานเกินไป ไม่มีใครที่วางแผนได้ยาวนานขนาดนี้ อย่าว่าแต่ 20 ปี แม้แต่ 5 ปีก็ยังทำยาก โลกนี้เปลี่ยนไปแล้ว และจะเปลี่ยนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เมื่อ 6 เดือน หรือ 7 เดือนที่แล้วเราไม่เคยได้ยินทั้งเรื่องของเทคโนโลยีหรือแม้กระทั่งพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ๆ ที่จะมากำหนดทิศทางโลก

“เราเดินทางไปเจรจาค้าขายเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ดึงคนมาลงทุน แต่ดูเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่พวกท่านไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะ เป็นเรื่องน่าละอายใจ และยังมีอีกหลายเรื่องที่ 3 ปีที่แล้วยังไม่มี เช่น พลังสะอาด เวลาที่ผมเดินทางไปต่างประเทศ จะเป็นเรื่องแรกที่หยิบยกมาพูดคุย นี่คือตัวอย่างที่โลกเปลี่ยน เรื่องเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามแห่งความสามารถ ที่ทุกบริษัท ทุกรัฐบาล ทุกประเทศทั่วโลกทุ่มดึงดูดทุกคนที่มีความสามารถมาทำงานกัน และยังเป็นเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งในระยะ 3-4 ปีที่ผ่านมาจีนกับสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีฟิกชันเยอะขนาดนี้ แต่ปัจจุบันมีสูงขึ้น” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวว่า ประเทศเราต้องคอยปรับยุทธศาสตร์ให้เหมาะสมกับช่วงเวลาในแต่ละช่วงเวลาด้วย ตนอยากให้แผนยุทธศาสตร์นี้ต้องมีความคล่องตัว กระจายมากยิ่งขึ้น ให้มีการทบทวนและยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลก ขอฝากที่ประชุมช่วยกันพิจารณารูปแบบการดำเนินงานที่เหมาะสม และจะทำอย่างไรให้ยุทธศาสตร์เกิดประโยชน์ได้จริงๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกในวันนี้และไม่ปิดกั้นอนาคตของประเทศชาติ เพื่อให้การตัดสินเส้นทางการพัฒนาของลูกหลานของพวกเราในอีก 20 ปีข้างหน้าไม่ถูกผูกมัดด้วยความคิดของคนรุ่นเก่า ให้มีโอกาสที่จะปรับเท่าคนรุ่นใหม่ที่จะเติบโตขึ้นให้มีโอกาสที่จะเลือกทิศทางในการวางยุทธศาสตร์และก้าวไปพร้อมกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง

ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงการมอบนโยบายในที่ประชุมยุทธศาสตร์ชาติที่วางกรอบไว้ 20 ปี อาจจะต้องมีการทบทวนตามสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงว่า ต้องเป็นไปตามบริบทของโลกที่เปลี่ยนไป ซึ่งก็รู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดเวลา โลกเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก ตนเชื่อว่าทุกท่านก็เห็นอยู่ว่าหลายๆ เรื่องโลกเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการทบทวนหรือปรับยุทธศาสตร์ใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ยังไม่ทบทวบหรือปรับ และขณะนี้การประชุมก็ยังไม่เสร็จ บังเอิญต้องไปพบรัฐมนตรีก่อน มีหารือ

เมื่อถามว่า แสดงว่านายกฯ เห็นว่าจะต้องมีการทบทวนหรือปรับทุก 5 ปีใช่หรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า ก็แล้วแต่ความเหมาะสมที่จะต้องพิจารณากัน เชื่อว่าข้อความที่ตนส่งไป ความหมายที่ตนส่งไปชัดเจนว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากในช่วงที่ผ่านมา และหลายๆเรื่องหากเราจะดึงผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาในประเทศ มันก็มีสงครามดึงคนเก่ง อย่างที่เรียนไปสมัยก่อน เวลาไปดึงดูดนักลงทุนเข้ามา เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ไม่มีใครพูดเรื่องพลังงานสะอาดเลยใช่หรือไม่ แต่วันนี้เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง

ถามว่า ยุทธศาสตร์ชาติถูกล็อกไว้โดยรัฐธรรมนูญจะทำอย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่า มันกว้าง มีขอบเขตพื้นที่ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้

ด้านนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติว่า นายกฯ มีข้อสั่งการในที่ประชุม เพื่อให้ยุทธศาสตร์ชาติสามารถเป็นเครื่องมือในการพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับบริบทการพัฒนาที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน อาทิ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ Cloud Computing พลังงานสะอาด ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานคุณภาพ รวมทั้งภูมิรัฐศาสตร์ จึงขอให้คณะกรรมการร่วมกันคิดรูปแบบวิธีการดำเนินงานและการขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติที่เหมาะสม โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ควรดำเนินการทบทวนปรับปรุงยุทธศาสตร์ชาติให้ทันกับบริบทการพัฒนาโลกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ยุทธศาสตร์ชาติเป็นกรอบแนวทางการพัฒนาประเทศที่มีความยืดหยุ่น ทันสมัย และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อให้ประชากรรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังการพัฒนาประเทศที่สำคัญได้เป็นส่วนร่วมในการขับเคลื่อนประเทศต่อไป

นายชัยกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบ 4 เรื่อง ดังนี้ 1. รับทราบผลการประเมินความคุ้มค่าการปฏิบัติภารกิจของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง หรือ สำนักงาน ป.ย.ป. โดยให้สำนักงาน ป.ย.ป. ยังคงคงปฏิบัติหน้าที่ที่รัฐบาลมอบหมายต่อไปเป็นระยะเวลา 1 ปี โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ก.พ. ร่วมกันพิจารณาทบทวนและปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน ป.ย.ป. ให้มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งให้ประเมินความคุ้มค่าของสำนักงาน ป.ย.ป.ต่อไป

2.เห็นชอบ (ร่าง) โครงการเพื่อขับเคลื่อนการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จำนวน 309 โครงการ โดยมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สำนักงานฯ) นำเสนอผลการพิจารณาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการขับเคลื่อนการดำเนินการโครงการสำคัญตามที่สำนักงานฯ เสนอ โดยทุกหน่วยงานควรเร่งสร้างบุคลากรผู้ที่สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ในการจัดทำโครงการฯ (ครู ก.)

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า 3.เห็นชอบการปรับเปลี่ยนหน่วยงานเจ้าภาพขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเพิ่มเติม เพื่อให้เหมาะสมระหว่างเนื้อหาของแผนแม่บทฯ กับภารกิจหน้าที่หน่วยงานมากขึ้น โดยมอบหมายสำนักงานฯ นำผลการพิจารณา เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป โดยประธานในที่ประชุมได้กำชับให้หน่วยงานเจ้าภาพทุกระดับต้องเร่งประสานและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานร่วมขับเคลื่อน เพื่อจัดทำโครงการการ/การเนินงานให้สามารถบรรลุตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติได้แบบพุ่งเป้าต่อไป

4.เห็นชอบการจัดทำคำสั่งกลไกการดำเนินการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาคนทุกช่วงวัยและการแก้ไขปัญหาความยากจนสามารถเป็นไปอย่างบูรณาการ มีประสิทธิภาพ ต่อเนื่อง เป็นประโยชน์สูงสุด และมีความยั่งยืนในการพัฒนา รวมทั้งมอบหมายทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเร่งจัดส่งข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงด้วยเลขบัตรประชาชน 13 หลักให้สำนักงานฯ เพื่อที่สำนักงานฯ จะได้นำไปประมวลผลหากลุ่มคนเป้าหมายประจำปี 2567 ต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกต.จับตาศึก ‘อบจ.ราชบุรี’

ประธาน กกต.ยันจับตาเลือกตั้ง อบจ.ราชบุรีวันอาทิตย์นี้ เตือนอย่าทำอะไรผิดกฎหมาย “2 ผู้สมัคร” แห่หาเสียงโค้งสุดท้าย โดยเฉพาะเด็กค่าย ปชน.

ไปข้างหน้าเพื่อชาติ! อิ๊งค์วอนเสื้อแดงให้เข้าใจ ราชทัณฑ์ดิ้นโต้เสรีพิศุทธ์

"นายกฯ อิ๊งค์" เผย ครม.นิ่งแล้ว รอตรวจประวัติเสร็จทำงานได้ทันที แจงจับมือ "ประชาธิปัตย์" เพื่อเสถียรภาพรัฐบาล บอกเข้าใจหัวอกคนเสื้อแดง วอนก้าวไปข้างหน้าเพื่อชาติ